เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องจากคุณเบลส์ครับ คุณเบลส์เล่าว่า.. เมื่อปี 2002 ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ยังเรียนอยู่ชั้น ม.4 อำเภอที่ผมอยู่เป็นอำเภอเล็กๆ ในภาคเหนือที่ค่อนข้างไกล ไม่มีร้านสะดวกซื้อ ไม่มีร้านค้ายามราตรี มีร้านขายของชำเพียง 2-3 ร้านเท่านั้นเอาง่ายๆ คือมันยังไม่มีความเจริญเลยครับ หมู่บ้านผมอยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ทุกคนในหมู่บ้านรู้จักกันหมด ไม่ว่าใครทำอะไรที่ไหนก็รู้กันทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านประกอบอาขีพทำนา ทำไร่เป็นส่วนใหญ่ ในหมู่บ้านของผมจะมีจุดศูนย์รวมที่ชาวบ้านมักจะมาเจอกัน ปรึกษาหารือกัน นั่นก็คือวัดที่ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน และก็จะมีอีกสถานที่หนึ่ง เป็นที่ที่ชาวบ้านทุกคนรู้จักดี และเป็นที่ที่ทุกคนไม่อยากย่างกรายเข้าไปใกล้เท่าไหร่นัก ไม่ใช่สุสานนะครับ แต่ที่นี่เขาจะเรียกว่า ‘ดงชาวบ้าน’ ลักษณะเป็นเนินป่าเขาลูกเล็กๆ อยู่ทางท้ายหมู่บ้าน ตั้งเด่นอยู่กลางทุ่งนาที่ห่างไกลผู้คน รอบๆ จะเป็นลำห้วยเล็กๆ มีดงกล้วยล้อมรอบประปราย เงียบ เย็น และวังเวงอย่างบอกไม่ถูก กลางดงชาวบ้าน จะมีศาลเก่าๆ ขนาดใหญ่ ทำจากไม้ รอบๆ เต็มไปด้วยกระถางธูป ผ้าเจ็ดสีแบบเก่าๆ และพานวางข้าวของต่างๆ
สถานที่แห่งนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ประจำหมู่บ้านเลยครับ เป็นที่ๆ รวมผีบรรพบุรุษที่คอยปกป้องหมู่บ้าน ชาวบ้านมักจะมาที่นี่เพื่อบนบานศาลกล่าว ไม่ว่าจะเป็นสอบเข้าทหาร ลูกหลานสอบเข้ามหาวิทยาลัย เดินทางต่างประเทศ ส่วนมากจะเป็นงานใหญ่ๆ บนแต่ละทีก็จะมีการมาเลี้ยงแก้บนที แล้วเวลาจะเลี้ยงไม่ได้ทำแค่ในครอบครัว แต่ที่นี่จะจัดเป็นงานใหญ่ คือมาช่วยกันทั้งหมู่บ้านเลย.. และเรื่องที่จะเล่ามันเกิดขึ้นในวันหนึ่ง วันที่ลุงผมสอบติดนายทหาร จึงมีการเลี้ยงแก้บนที่ดงชาวบ้านกัน ญาติพี่น้องผมมากันเยอะมาก งานเลี้ยงแบบนี้ทุกคนไม่ได้สังสรรค์เฮฮากันนะครับ เพราะงานเลี้ยงดงชาวบ้านไม่ใช่งานรื่นเริง เรียกแบบบ้านๆ ก็คืองานเลี้ยงผี ที่ค่อนข้างจะเงียบ วังเวง และน่ากลัวสำหรับเด็กวัยรุ่นแบบผม ในงานก็จะมีพวกหัวหมู เนื้อวัวสด เลือดสด ของคาว ของหวาน ต่างๆ นานา บรรยากาศในดงชาวบ้านก็เย็นยะเยือกมาก ทั้งๆ ที่เป็นหน้าร้อน งานเลี้ยงมีตั้งแต่เช้า กว่าจะเสร็จพิธีก็เกือบๆ เที่ยง ทุกคนก็เก็บข้าวเก็บของออกมาจากดงชาวบ้าน แล้วเอาของสดไปทำกินกันที่บ้านต่อ..
พอกลับมาถึงบ้าน พวกผู้หญิงก็จะเข้าครัวกัน หนึ่งในนั้นมีอยู่คนหนึ่งที่มีศักดิ์เป็นน้าของผม ผมเรียกเขาว่า พี่แอ๋ว ครับ พี่แอ๋วแกนั่งหั่นหมูอยู่ดีๆ แกก็เอามีดปักลงเขียง แล้วก้มหน้า หายใจฟืดฟาดๆ เสียงดัง จนทุกคนต้องหันไปมอง รวมทั้งตัวผมด้วย ป้าคนหนึ่งก็ถามว่า ‘แอ๋ว..เปนหยังนิ?’ (ภาษาเหนือ : ‘แอ๋ว เป็นอะไร?) แต่พี่แอ๋วกลับเงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ สักพักแกเอามือเอาเท้ากวาดของที่อยู่ตรงหน้ากระจัดกระจายหมด ทุกคนต่างพากันตกใจ ป้าผมเลยใช้ผมให้ไปเรียกลุงมาดู พอผมกับลุงมาถึง ภาพที่เห็นคือ พี่แอ๋วแกทำท่าเหมือนนางรำครับ ตั้งท่าฟ้อนแบบแปลกๆ หลังแอ่นๆ ค้างไว้อยู่อย่างนั้น ทุกคนเห็นก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เลย สายตาแกมองขวางมาก ดูจิตหลุดล่องลอย บรรดาป้าๆ ผู้หญิงเห็นต่างก็กลัว ร้องไห้ ยกมือไหว้กันใหญ่.. จนคนที่เป็นคนทำพิธีเลี้ยงผีประจำหมู่บ้านมาถึง เข้ามาถามมาคุยด้วย พี่แอ๋วแกก็ถุยน้ำลายใส่อย่างเดียว และแสยะยิ้ม คือไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เห็นภาพ แต่พี่แอ๋วตอนนั้นน่ากลัวมากๆ แกยังคงตั้งท่าฟ้อนแบบแปลกๆ ถามอะไรไปก็ไม่ตอบ เอาแต่กรี๊ด และหัวเราะท่าเดียว
ผ่านไปสักพัก กลุ่มผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านก็ตามมาสมทบ จุดธูปปักลงตรงหน้าพี่แอ๋ว พนมมือพร้อมกับสวดอะไรสักอย่างงึมงำๆ ปรากฏว่าพี่แอ๋วแกล้มลงไปนอนกองที่พื้นตรงนั้นเลยครับ ทุกคนก็รีบเข้ามาปฐมพยาบาลกันใหญ่ พาไปพักที่บ้าน สรุปพี่แอ๋วสลบไป 1 วันเต็มๆ ใครๆ ต่างก็บอกว่าพี่แอ๋วโดนผีเข้า ญาติๆ ผมก็เฝ้าสังเกตอาการ จนพี่แอ๋วตื่นขึ้นมาในอีกวัน แกอาละวาดใหญ่เลยครับ พูดจาไม่รู้เรื่องเลย กระโดดไปกระโดดมาเหมือนลิง ส่งเสียงร้องกรี๊ด และหัวเราะตลอดเวลา ใครเข้าใกล้จะเจอกัด เจอถุยน้ำลายใส่ตลอด เป็นภาพที่น่ากลัวมากๆ สายตาแกเหม่อลอย ผิวเริ่มเหลืองหมด จากเดิมที่เป็นคนผิวขาว ผู้ชายเข้าไปจะจับยังโดนสะบัดปลิวกันออกมา ผมจำได้ว่าต้องใช้ผู้ชาย 5-6 คนช่วยกันจับพี่แอ๋วมัดติดกับเสาไว้ ผมนี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเลยอยู่ดูตลอด ทั้งๆ ที่เด็กคนอื่นไม่มีใครกล้ามาดู
เย็นนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเขาเลยประชุมกันเพื่อจะทำพิธีบางอย่างที่เรียกว่า ‘ผีหม้อนึ่ง’ ครับ ทำกันที่บ้านพี่แอ๋ว คนทำพิธีเป็นคุณยายที่เป็นที่เคารพประจำหมู่บ้าน 4 คน นั่งล้อมหม้อข้าวนึ่งที่ผูกกับผ้าขาวม้า บริกรรมคาถาเชิญผีสักพัก คุณยายทั้ง 4 คนก็จับผ้าขาวม้าที่ผูกติดหม้อนึ่งครับ สักพักหม้อนึ่งนี่ดิ้นใหญ่ โดดโหยงเหยงเลย คุณยายท่านหนึ่งก็ถามว่าเกิดอะไรกับพี่แอ๋ว? จากนั้นหม้อนึ่งก็จะเริ่มเหวี่ยง และวาดลงบนกระบุงข้าวเปลือกที่เตรียมไว้ ถึงตรงนี้พี่แอ๋วเอาแต่กรี๊ดครับ สักพักหม้อนึ่งก็พาคุณยายที่ทำพิธี โดยดึงคุณยายทั้ง 4 ลุกเดินไปทั่วห้องของพี่แอ๋ว แล้วหม้อนึ่งก็เริ่มเหวี่ยงตัวไปที่ตู้เสื้อผ้า ตีตู้เสื้อผ้าใหญ่เลย ญาติๆ ที่ดูอยู่ก็เลยเปิดตู้เสื้อผ้า พบกองเสื้อผ้าที่พี่แอ๋วใส่เมื่อวาน หม้อนึ่งก็เริ่มตีๆ ลงบนกองเสื้อผ้าของพี่แอ๋ว ป้าอีกคนเขาเลยมาค้นในกองเสื้อผ้า ล้วงไปในเกงเกงพี่แอ๋ว ปรากฏว่าเจอของสิ่งหนึ่งเข้าครับ เป็นสร้อยคอทองแดง 1 เส้น หม้อนึ่งจึงสงบลง.. บรรยากาศตอนนั้นเงียบขึ้นมาทันใด พี่แอ๋วตะโกนออกมาเป็นเสียงผู้ชายว่า ‘ของฮา! มึงเอาของฮามายะหยัง?’ (ภาษาเหนือ : ของกู! มึงเอาของกูมาทำไม!) จากนั้นพวกญาติๆ จึงรีบเอาสร้อยนี้ไปคืนดงชาวบ้าน พร้อมกับทำพิธีขอขมา พี่แอ๋วถึงเริ่มสงบลง..
แต่หลังจากกวันนั้นมา พี่แอ๋วแกก็ไม่ปกติอีกเลย กลายเป็นเหมือนคนสติไม่ค่อยดี ไม่สมประกอบ ชาวบ้านต่างก็พูดกันว่า ‘นี่ละหนา..ไปขโมยของจากดงชาวบ้านมา เขาก็ตามมาทวงคืน’ ..เรื่องนี้ทำเอาคนในหมู่บ้านพูดถึงกันไปอีกเป็นเดือนๆ ป้าบางคนเล่าว่า ตอนที่เจอสร้อยในกระเป๋ากางเกง แกเห็นว่ามีเงาคนดำๆ เต็มบ้านเลย ยืนล้อมพี่แอ๋วอยู่ น่ากลัวมากๆ ยายที่ทำพิธีท่านหนึ่งก็เล่าว่า ผีหม้อนึ่งบอกว่า พี่แอ๋วแกปวดฉี่ตอนอยู่ในงานเลี้ยงที่ดงชาวบ้าน แกเลยไปฉี่ แล้วไปเจอสร้อยที่เขาเอามาถวาย แกอยากได้เลยขโมยมา แถมฉี่กลางดงชาวบ้านก็ไม่ได้ขอขมา เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ ตอนแรกพวกเขาจะเอาชีวิตพี่แอ๋วด้วย แต่เจรจาขอชีวิตพี่แอ๋วไว้และขอขมาไป..
นี่เป็นประสบการณ์แรกที่ผมเห็นคนโดนผีเข้าแบบจะๆ ตั้งแต่เริ่มจนจบเลยล่ะครับ มันน่ากลัว และเหลือเชื่อมากๆ ที่เห็นคนที่เรารู้จักเปลี่ยนแปลงไปแบบสิ้นเชิง และปัจจุบันนี้พี่แอ๋วแกก็ยังไม่หายดีนะครับ ถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลจิตเวชเลยทีเดียว น่าสงสารแกมากครับ
Story by คุณเบลส์