เรื่องนี้ส่งมาจากคุณออดี้ครับ คุณออดี้เล่าว่า.. ผมมีอาชีพขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ครับ ขับมาก็หลายปีพอสมควรแล้ว ที่ผ่านมาก็จะเช่ารถขับจากอู่แท็กซี่ จนมีเงินเก็บก้อนหนึ่ง เลยมีความคิดว่าอยากดาวน์แท็กซี่เป็นของตัวเองสักคัน จนมาเจอบริษัทหนึ่งอยู่แถวพุทธมณฑล ผมก็ตกลงใจที่จะซื้อรถจากบริษัทนี้ จึงทำเรื่องซื้อ เรื่องค้ำประกันเรียบร้อยเสร็จ ก็รอวันรับรถ ซึ่งต้องรอตามคิวครับ รอประมาณ 2 อาทิตย์ก็ถึงคิวของผม ด้วยความดีใจที่จะมีรถเป็นของตัวเองคันแรก รุ่งเช้ามาผมก็ไปรับรถเลยทันที โดยไม่ทันคิดเรื่องฤกษ์งามยามดี เพราะมัวแต่ตื่นเต้น ซึ่งก็ผ่านไปเรียบร้อยดี รับรถมาจอดที่บ้านอย่างชื่นใจ โดยผมจะผลัดกันขับกับพ่อผมครับ ส่วนมากพ่อจะขับกะกลางวัน ผมขับกะกลางคืน
จากนั้นผมก็เริ่มงานด้วยรถคันใหม่ ขับรถหาลูกค้าไปเรื่อยทุกๆ วัน แต่กลับรู้สึกว่าหาเงินได้ไม่ค่อยดีเหมือนตอนเช่ารถขับ บางครั้งเห็นคนยืนข้างทางเหมือนจะเรียกแท็กซี่ พอขับเข้าไปใกล้ๆ เขาก็ไม่เรียก แต่ไปเรียกอีกคันที่วิ่งตามหลังผมมา ทั้งๆ ที่รถผมก็ใหม่เพราะถอยป้ายแดงออกมาเลย แต่ผมก็ไม่อยากคิดมาก คิดว่าไม่ใช่ดวงของผม.. แต่นับวัน ยิ่งขับก็ยิ่งหาเงินยากขึ้นมากกว่าเดิม มิหนำซ้ำรถยังเสียอยู่บ่อยๆ อีก เดี๋ยวตรงนั้นเสียเดี๋ยวตรงนี้พังทั้งที่เป็นรถใหม่ ทำผมหัวเสียมากเลยทีเดียว.. จากที่ผมมักจะรับลูกค้าที่ยืนโบกรถตามริมถนนเท่านั้น พอหาลูกค้าได้ยาก ผมเลยต้องรับงานจากศูนย์วิทยุบริการเรียกรถแท็กซี่ไปด้วย ซึ่งก็เพิ่มตัวช่วยหาลูกค้าให้ผมได้วันๆ หนึ่งก็ 3-4 เที่ยว
จนวันเกิดเหตุมาถึงครับ ประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ ขณะที่ผมกำลังวิ่งหาลูกค้าแถวๆ เกษตร-นวมินทร์ ก็มีงานจากศูนย์วิทยุดังขึ้น พิกัดหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ กันกับที่ผมอยู่พอดี ผมจึงกดรับงานนี้ แต่ขณะนั้นก็มีแท็กซี่คันอื่นก็อยู่ในพิกัดใกล้ๆ กันอีกหลายคัน ซึ่งปรากฏว่าผมต้องแข่งกับแท็กซี่อีก 3 คัน คือถ้าคันไหนไปจอดที่หน้าหมู่บ้านได้เป็นคันแรกก็จะได้งานไป แต่ด้วยความที่ผมไม่ทราบพิกัดที่แน่นอนของหมู่บ้านนี้ เลยได้แต่ขับช้าๆ มองป้ายชื่อหมู่บ้านไปเรื่อยๆ จะจอดถามคนแถวนั้น ก็เกรงว่าจะเสียเวลา กลัวแท็กซี่คันอื่นไปถึงก่อน ก็เลยขับดูป้ายไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปสักพักก็ไม่เจอสักที ผมจึงถอดใจ ไม่เอาก็ได้วะ กำลังเปลี่ยนใจจะกลับรถกลับทางเดิมเพื่อหาลูกค้าต่อ แต่! ระหว่างที่ผมกำลังถอยหลังเข้าซอยเพื่อจะกลับรถ สายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายชื่อหมู่บ้านที่ผมกำลังหาอยู่พอดี สรุปว่าผมได้รับงานนี้ไปแบบงงๆ ครับ
ทางศูนย์จึงแจ้งบ้านเลขที่ และซอยของลูกค้าที่ผมต้องไปรับ ผมก็ขับเข้าไป เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ซอยมืดๆ ไม่มีไฟถนน มีแต่ไฟจากในบ้านคนเปิดไว้ไม่กี่หลัง จนมาถึงบ้านลูกค้า ผมก็ขับไปจอดหน้าบ้าน สักพักก็เห็นคนเปิดผ้าม่านชะโงกหน้ามาดู เป็นอันรู้กันว่ารถมาแล้ว ไม่นานก็มีผู้หญิงวัยกลางคนเดินมาขึ้นรถ พร้อมกับบอกจุดหมายที่ต้องการไป ผมก็ออกรถไป ลูกค้าก็ชวนคุยเรื่องทั่วไปเรื่อยๆ จนมาได้ประมาณครึ่งทางก็มีโทรศัพท์เข้า เขาก็คุยโทรศัพท์ไป จนวางสาย.. แล้วลูกค้าก็ถามผมขึ้นมาว่า ‘เมื่อกี้ได้เข้าไปส่งใครในหมู่บ้านหรือเปล่าคะ?’ ผมก็ตอบว่า ‘เปล่าครับ’ พร้อมกับถามกลับว่ามีอะไรเหรอครับ? ลูกค้าก็เล่าว่า เมื่อกี้ลูกสาวโทรมาถามว่า ‘แม่นั่งแท็กซี่ไปกับใคร?’ ก็เลยตอบไปว่า คนเดียวสิคะลูก แต่ลูกสาวกลับบอกว่า ‘แต่หนูเห็นมีผู้หญิงนั่งหน้าข้างคนขับด้วย เขายังหันมายิ้มให้หนูอยู่เลย..’
จังหวะนั้นที่ผมได้ฟัง คิดในใจ ‘ฉิบหายละกู..’ ตอนนั้นทั้งผม และลูกค้าต่างเข้าใจตรงกันว่าหมายถึงอะไร ผมนี่ขนลุกไปทั้งตัวเลยครับ แต่ลูกค้าก็ยังพูดปลอบใจผมว่า ‘เขาคงมาขอบุญเราน่ะ ก็หาโอกาสทำบุญไปให้เขาหน่อยแล้วกัน..’ แต่นาทีนั้นใจผมมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยจริงๆ แต่ก็พาลูกค้าไปส่งจนถึงที่หมาย พอลูกค้าลงรถเท่านั้นแหละ เขาแทบจะวิ่งเลยทีเดียว ส่วนผมก็เอาแล้วไง จะทิ้งรถไว้ก็กระไรอยู่ เลยพยายามข่มใจขับกลับบ้านทันที เปิดเพลงดังๆ กลบความกลัวเอาไว้ แต่ในใจเนี่ย นึกถึงสาเหตุที่ไม่ค่อยมีคนขึ้นรถออกเลย..
พอกลับมาถึงบ้านผมก็เล่าให้พ่อฟัง พ่อก็บอกว่า ‘เออ เคยเจอคล้ายๆ กันเลย ขับรถเข้าไปส่งลูกค้าในหมู่บ้านที่ต้องแลกบัตรตรงป้อมยาม พอส่งลูกค้าเสร็จ กลับออกมาที่ป้อม ยามก็มองเข้ามาในรถแล้วทำท่าทางตกใจ เหมือนกับว่าเห็นอะไรบางอย่าง..’ พอเกิดเหตุการณ์นี้กับผม พ่อเลยเชื่อว่าวันนั้นยามต้องเห็นคนนั่งอยู่ในรถกับพ่อด้วยแน่ๆ.. รุ่งขึ้นผมกับพ่อก็ขับรถไปหาพระอาจารย์ที่นับถือ ให้ท่านดูว่ารถคันนี้มีอะไรอัปมงคลหรือเปล่า? แต่ท่านก็ไม่บอกกับพวกผมตรงๆ กลับพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า ‘ปล่อยให้เขาทำมาหากินเถอะโยม อาตมาขอบินฑบาตร..’ แล้วผมได้มารู้ตอนหลังว่าผีผู้หญิงที่อยู่ในรถคันนี้ คือสัมพเวสีที่อยู่ตรงทางแพร่งในวันที่ผมไปถอยรถมา วันนั้นไม่ใช่วันดีของผม จึงถอยไปเหยียบของเซ่นผีเข้า เขาเลยสิงรถมาด้วย ตอนนี้ผมปล่อยรถคืนบริษัทไปแล้วล่ะครับ..
Story by คุณออดี้