เรื่องนี้เป็นเรื่องจากคุณเอสซั่มครับ คุณเอสซั่มเล่าว่า.. ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ผมทำงานเป็นอาสากู้ภัย และได้ไปอยู่กับพี่คนหนึ่ง ที่อยู่มาก่อนผมนานมาก ใครๆ ก็รู้ดีว่าพี่คนนี้นิสัยไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก แต่ผมก็ไม่รู้ว่าไม่ดียังไงนะครับ..
จนมีอยู่คืนหนึ่งตอนประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ เราได้รับแจ้งเหตุว่ามีรถกระบะชนเสาไฟฟ้า และมีคนติดอยู่ในรถ 2 คน คนขับได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนอีกคนเสียชีวิตคาที่ คาดว่าน่าจะชนแรงมาก เพราะผู้เสียชีวิตศีรษะเกือบขาดออกจากคอเลยครับ และที่หลังกระบะรถมีม้าตัวใหญ่ ลักษณะเหมือนม้าแข่ง กำลังนอนร้องเพราะความเจ็บปวดอยู่.. ผมกับพี่คนนี้ก็รีบไปที่เกิดเหตุกันเหมือนทุกครั้งครับ พวกเราทำการช่วยเหลือเอาคนเจ็บออกมาจากรถ แล้วนำส่งโรงพยาบาล ส่วนคนตายก็ช่วยกันนำเอาร่างออกมาอย่างทุลักทุเล เนื่องจากเป็นคนอ้วน น้ำหนักเยอะ พอเสร็จก็นำส่งห้องเก็บศพของโรงพยาบาลเรียบร้อยครับ
พอช่วงเวลาประมาณตี 3 ผมก็เริ่มไม่ไหวละ เลยชวนพี่เขากลับบ้าน พอดีบ้านผมกับบ้านพี่คนนี้อยู่ใกล้กันมาก เลยกลับด้วยกัน.. พอพี่เขาเอารถเข้าบ้าน ผมก็ขอตัวเพื่อจะเดินกลับบ้านของผม ระหว่างหันหลังจะเดินกลับบ้านเท่านั้น สายตาผมก็เหลือบไปเห็นร่างของคนคนหนึ่ง ยืนอยู่ตรงใต้เสาไฟฟ้าเยื้องๆ กับบ้านผมไปหน่อย และเหมือนร่างนั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาผม ผมกลั้นใจมองเพ่งไปแบบเต็มๆ ตาเลยครับ มันเป็นร่างของชายอ้วนในรถกระบะเมื่อสักครู่ ที่ผมไปช่วยนั่นเอง! ลักษณะของเขามาเหมือนกับตอนที่ผมไปเจอในที่เกิดเหตุเลย คือศีรษะเกือบจะขาดออกจากคอ ผมนี่ตกใจก้าวขาไม่ออกเลย เขาพูดอยู่คำเดียวครับ ‘เอาทองกูคืนมา’ พูดซ้ำๆ อยู่คำเดียว ผมกลัวจนแทบฉี่ราดเลยครับ
ผมก็พูดตอบกลับไปว่า ‘ผมไม่รู้เรื่อง ทองอะไรของคุณ ผมไม่รู้เรื่อง..’ ผมทรุดลงกับพื้น แล้วจู่ๆ พี่ผมคนนั้นคงได้ยิน เลยออกมาหา มาจับแขนผมแล้วถามว่า ‘มึงเป็นอะไรของมึงวะ กลับบ้านๆ’ ตอนนั้นร่างชายอ้วนคนนั้นหายไปแล้ว.. แต่ผมไม่ได้เล่าให้พี่เขาฟัง ว่าผมเจออะไร ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้คนเดียว.. หลายวันต่อมา ผมมาทราบข่าวว่าพี่ผมคนนี้ แกไม่สบายเข้าโรงพยาบาล ผมก็เลยแวะไปเยี่ยม พอเข้าไปเจอพี่เขา สภาพหน้าซีด โทรม เหมือนคนบ้าเลยครับ พยาบาลเล่าให้ฟังว่า พี่เขาเพ้อแต่ว่า ‘กูไม่ได้เอาไปๆ’ ทุกครั้งที่แกอยู่คนเดียว บางทีก็ได้ยินพี่แกโวยวาย เหมือนทะเลาะกับใครอยู่ ทั้งๆ ที่ก็ไม่มีใคร..
ผมเลยตัดสินใจเข้าไปถามพี่เขาตรงๆ ว่า ‘พี่ได้เอาทองของคนตายคืนนั้นมารึป่าว?’ เท่านั้นแหละ พี่แกร้องไห้ ก่อนจะบอกผมว่า ‘มึงช่วยเอาไปคืนให้ที..’ ผมนี่อึ้งพูดไม่ออกเลยครับ พี่เขายังเล่าให้ฟังอีกว่า ‘หลังจากวันนั้น เมียกับลูกกู บอกว่าเห็นผู้ชายอ้วนๆ มายืนมองที่หน้าบ้านบ่อยๆ จ้องอย่างน่ากลัวมา ตาไม่กระพริบเลย บางครั้งลูกกูเห็นมีก้อนหินถูกปาเข้ามาในบ้านประจำ แต่พอเดินไปดูก็ไม่มีใคร..’ พอผมได้ฟังเรื่องที่พี่แกเล่า ผมก็รีบกลับไปที่รถกู้ภัยของแก รื้อเอาทองของคนตายที่แกซ่อนไว้ในรถ เป็นสร้อยทองหนักมากครับ 10 บาทได้ แล้วรีบนำไปฝากร้อยเวรให้ติดต่อญาติมารับคืนไปเลยทันทีครับ.. ผมคิดว่าเขาคงมาตามของของเขาคืนจริงๆ นั่นล่ะครับ ของของใคร ใครก็หวง..
หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกเลย จนพี่เขาออกจากโรงพยาบาลมา พี่เขาก็เลิกทำอาสากู้ภัย แล้วขอไปบวช 2 เดือน เพราะพี่เขาบอกกับผู้ชายอ้วนคนนั้นเอาไว้ว่า ‘จะเอาของไปคืนให้ แล้วจะบวชให้ แต่ขอร้องอย่าทำอะไรลูกเมียเลย’
Story by คุณ เอสซั่ม