เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณ PT (นามสมมติ) ครับ คุณ PT เล่าว่า.. ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เวลาอาจจะดูยาวนาน แต่สำหรับเราเหมือนมันเพิ่งจะผ่านไปไม่นานนี้เอง เข้าเรื่องเลยนะคะ คือช่วงนั้นเราเรียนชั้น ม.6 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร เป็นโรงเรียนระดับอำเภอ ก่อตั้งมานาน มีเรื่องเล่ามากมายเลย เหตุการณ์มันเกิดขึ้นในช่วงงานกีฬาสีของโรงเรียนค่ะ เราได้รับมอบหมายให้เป็นรองหัวหน้าสี หน้าที่คือทำทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ พวกเราในห้องทั้งหมดก็ช่วยกันค่ะ ต่างคนต่างมีหน้าที่ต่างกันไป เรากับเพื่อนบางส่วนช่วยกันวาดเพจที่ใช้สำหรับตกแต่งสแตนเชียร์ (นึกถึงเพจอันยาวๆ เกือบเท่าตึก 2 ชั้น ที่จะต้องเอาไว้ตกแต่งด้านข้างของสแตนเชียร์) โดยใช้พื้นที่ชั้นล่างอาคารเรียน 1 ที่อยู่ด้านในสุดของโรงเรียน เป็นที่ทำงานของพวกเรา อาคารนี้เป็นครึ่งปูนครึ่งไม้ คือผนังเป็นปูนพื้นเป็นไม้ มี 2 ชั้น ชั้นบนเป็นชั้นหมวดวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นล่างเป็นหมวดวิชาภาษาไทย เราใช้เวลาหลังเลิกเรียนมาช่วยกันค่ะ ออกแบบวาดกันไปสนุกสนาน
จนเวลาผ่านไป เพื่อนบางคนเริ่มขอตัวกลับก่อนเพราะบ้านอยู่ไกล ส่วนที่เหลือบ้านอยู่ใกล้โรงเรียนหน่อยก็ช่วยกันทำต่อ.. สักพักใหญ่ๆ หูเรายังได้ยินเพื่อนๆ คุยกันเฮฮาอยู่ไม่ไกลนัก เรานั่งอยู่ห่างจากเพื่อนพอสมควร ระหว่างที่เราเพลิดเพลินกับการลงมืออกแบบวาดภาพอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีลมพัดวูบเข้ามาเหมือนฝนกำลังจะตก พัดจากทางหัวอาคารไปจนถึงท้ายอาคาร เสียงใบไม้แห้งปลิวลากไปกับพื้นซีเมนต์ด้านนอกชวนวังเวงเหลือเกิน เรามองออกไปที่อาคารเรียน 2 ก็แปลกใจที่ต้นไม้ของอาคารนั้นนิ่งไม่ไหวติง ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กันนิดเดียว เหมือนลมจะเลือกพัดแค่อาคารเรียน 1 ยังไงยังงั้น.. เวลานั้นไม่มีใครอยู่ในโรงเรียนแล้วนอกจากพวกเรากับพี่ยาม ที่อยู่ป้อมหน้าโรงเรียนโน่น เรามองนาฬิกาข้อมือ เกือบจะ 6 โมงเย็นแล้ว ทันใดนั้นทุกอย่างก็เงียบกริบ เพื่อนที่คุยกันเฮฮา ตอนนี้นั่งมองหน้ากันเลิกลั่ก เราลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเพื่อน ตอนนั้นเหลือกันอยู่แค่ 6 คนรวมเราด้วย เรากำลังจะอ้าปากถามเพื่อนๆ ว่า ‘จะกลับหรื….’ แต่ดันได้ยินเสียงดังมาจากชั้นบน เหมือนมีคนวิ่งเล่นอยู่! ด้วยความที่เป็นพื้นไม้ ทำให้ได้ยินแบบชัดเจนแจ่มแจ๋ว เสียงวิ่งนั้นฟังดูเตาะแตะเหมือนเด็กเล็กๆ วัยกำลังซนเริ่มหัดวิ่ง วิ่งๆ หยุดๆ สลับกับเดินไปมา ตั้งแต่หัวอาคารยันท้ายอาคาร เรากับเพื่อนต่างมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไร.. สักพักเราบอก ‘กลับบ้านเหอะ เหมือนฝนกำลังจะตก’ สิ้นเสียงเรา เพื่อนทุกคนต่างพากันเก็บของ รนรานจนของหลุดมือ สีหก เดินชนกัน เรียกได้ว่าสติแตกกันหมดเลยค่ะ ตลอดเวลาเสียงวิ่งนั่นก็ยังดังอยู่ แล้วมันก็ดัง และถี่ขึ้นเรื่อยๆ บีบหัวใจ และเส้นประสาทเหลือเกิน พอเก็บเสร็จก็ต่างคนต่างวิ่งขึ้นมอเตอร์ไซค์ทันที บึ่งกลับบ้านแบบไม่เหลียวหลังเลย.. พอถึงบ้านเราก็โทรหาเพื่อนๆ ประชุมสายคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็หาข้อสรุปไม่ได้..
หลังจากคืนนั้น เราและเพื่อนๆ ก็ปิดปากเงียบราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อาจเพราะพวกเราไม่อยากนึกถึงมัน พยายามคิดแค่ว่าคงหูฝาดกันไปเอง และด้วยความที่อยากทำงานต่อให้เสร็จ พวกเราจึงใช้เวลาหลังเลิกเรียนของเย็นวันต่อมาลงสีเพจอันเเรกให้เสร็จ ซึ่งวันนี้ที่โรงเรียนดูครึกครื้นดี เหลือบดูนาฬิกา 5 โมงครึ่งแล้ว แต่ก็ยังมีนักเรียนเดินกันขวักไขว่ไม่เหมือนกับวันก่อนๆ อาจเป็นเพราะเริ่มมีการซ้อมเชียร์ เลยกลับบ้านกันช้ากว่าปกติ ซึ่งก็ดี เพราะมันทำให้เรากับเพื่อนๆ รู้สึกเพลินจนลืมเรื่องเมื่อวานไปเสียสนิท.. แต่เวลาก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิน มองนาฬิกาอีกที 6 โมงเย็นพอดีเป๊ะ! ตอนนั้นเราไม่ได้ยินเสียงของเพื่อนๆ เลย เข้าใจว่าคงกำลังขมักเขม้นทำงานกันอยู่ เลยไม่ได้สนใจ มัวแต่ก้มหน้าก้มตาลงสีต่อ เพราะเพจสแตนเชียร์ใกล้เสร็จเต็มทีแล้ว
ผ่านไปอึดใจเดียว บรรยากาศแบบเมื่อวานมาอีกแล้วค่ะ ลมพัดมาห่าใหญ่ราวกับฝนกำลังจะกระหน่ำ ใบไม้แห้งถูกพัดกวาดไปกับพื้นชวนให้สยิวอีกครั้ง ลมพัดมาวูบเดียวแค่เฉพาะอาคารที่เราอยู่เท่านั้น ส่วนบริเวณอื่นภายในโรงเรียนกลับนิ่ง ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย เรานึกในใจ ‘เอาอีกแล้วไง..’ ว่าแล้วเราก็รีบหันกลับไปมองเพื่อนๆ ทั้ง 5 คนที่เหลือ ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับเมื่อวาน ปรากฏว่ามีเพื่อน 2 คนในกลุ่มนั่งกอดกันร้องไห้ โดยสายตามองเลยมาที่พื้นด้านหลังที่เรานั่งอยู่ ส่วนอีก 3 คนก็มองหน้ากันเลิกลั่ก เราเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเดินไปสมทบ พยายามให้เพื่อน 2 คนนั้นตั้งสติ พลางถามว่า ‘ร้องไห้กันทำไม?’ ทั้งคู่ก็ไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้าร้องไห้ เรากับเพื่อนที่เหลือ 3 คนเลยตัดสินใจรีบเก็บข้าวของกลับบ้าน แต่ในใจก็แอบหงุดหงิดว่าอีกแค่นิดเดียวเองก็จะเสร็จอยู่แล้ว และระหว่างที่เราเดินไปพับเพจสีที่ปูยาวบนพื้นกว่าครึ่งอาคารอยู่นั้น เราก็ได้ยินเสียงวิ่ง ‘ตึงๆๆ’ ดังอยู่ที่ชั้นบน วิ่งไปมาเหมือนกับเมื่อวานเป๊ะ!
เพื่อนเราทั้ง 5 คนก็ร้องกรี๊ดขึ้นมาพร้อมกัน อย่างกับนัดกันไว้ ยิ่งทำให้เราตกใจ เราอุทานด้วยความโมโห ‘อะไรกันนักหนาวะ!’ คราวนี้เพื่อนทุกคนร้องจะกลับบ้านท่าเดียวเลย ข้าวของนี่ไม่สนใจละ ไม่ยอมเก็บกันซะอย่างนั้น เพียงครู่เดียว เสียงวิ่งจากชั้นบนก็เงียบไปแล้วค่ะ แต่.. มันกลายเป็นเสียงวิ่งลงบันไดมาแทน! เสียงชัดเจนมากๆ เพราะบันไดก็ทำจากไม้เหมือนกัน แล้วอยู่ๆ เราก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่ท้ายทอย เพื่อนที่นั่งกอดกันร้องไห้ก็หันไปถามกันเองว่า ‘มึงเห็นใช่มั้ย?’ เพื่อนอีกคนก็ตอบว่า ‘เออ! เต็มๆ’ ไอ้เราที่ยืนอยู่ไกลออกมาจากเพื่อนๆ ในกลุ่มก็รีบตะโกนถามว่า ‘พวกแกเห็นอะไร?’ ทุกคนเงียบกริบ ไม่พูดไม่จา บรรยากาศตอนนั้นอึดอัดสุดๆ จากนั้นเราก็รีบเก็บของกันจนเสร็จ แล้ววิ่งขึ้นมอเตอร์ไซค์บึ่งรถหน้าตั้งกลับบ้านกันเลยค่ะ.. พอกลับมาถึงบ้าน พวกเราประชุมสายคุยกันอีกครั้งเพื่อจะถามว่าเพื่อน 2 คนเห็นอะไร? พวกมันบอกว่าเห็นเด็กยืนอยู่ข้างหลังเรา แต่ไม่รู้ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย มาในสภาพไม่ใส่เสื้อผ้า ไม่มีแขนทั้ง 2 ข้าง ส่วนคอเอียงพับลงมาถึงหัวไหล่ กำลังยืนจ้องมาที่พวกเรา พร้อมกับหัวเราะใส่.. พอได้ยินอย่างนั้นพวกเราก็รีบวางสาย แยกย้ายกันไปสวดมนต์ และคลุมโปงเข้านอนทันที
วันต่อมาพวกเราตัดสินใจย้ายไปทำงานกันในโรงยิมแทน เพราะที่นั่นค่อนข้างพลุกพล่าน มีคนมาเล่นบาสกันในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน ระหว่างที่กำลังกางเพจแสตนเชียร์ออกนั้น ทุกคนต่างได้แต่ยืนอึ้ง ตัวสั่น พูดไม่ออก เพราะมันมีรอยเท้าเปล่าของเด็กอยู่บนเพจสแตนเชียร์เต็มไปหมด! พวกเราได้แต่มองตากันปริบๆ ..จากนั้นก็พยายามหาคำตอบจากเรื่องที่เกิดขึ้น โดยไปถามจากรุ่นพี่เกี่ยวกับอาคารเรียนหลังนี้ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะเรื่องที่ได้ยินมา ไม่มีเรื่องไหนเกี่ยวข้องกับเด็กเลย.. แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน พวกเราก็บังเอิญไปรู้มาว่า เมื่อไม่กี่ปีก่อน มีอาจารย์สาวคนหนึ่งตั้งท้องได้ 3 เดือน แต่เพราะปัญหาสุขภาพจึงทำให้แท้งในที่สุด พวกเราเลยคิดกันว่า หรือเด็กน้อยที่เห็นในวันนั้น อาจจะเป็นวิญญาณของลูกอาจารย์คนนั้นที่เติบโตขึ้น และยังวนเวียนอยู่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ พวกเราก็ไม่เคยคิดจะอยู่โรงเรียนในช่วงเย็นอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้นค่ะ..
Story by คุณ PT (นามสมมติ)