เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องจากคุณ จอมกะล่อน เทพวายุ สมาชิกกลุ่ม TheHOUSE ครับ.. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผมเมื่อตอนอายุประมาณ 10 ขวบเท่านั้น บ้านผมอยู่จังหวัดสุโขทัยครับ ในอำเภอที่ผมอยู่นั้น ส่วนมากจะทำสวนผลไม้กันเป็นส่วนใหญ่ เช่นสวนมะม่วง สวนกล้วย สวนละมุด เป็นต้น อาจจะมีปลูกต้นไม้อื่นแซมเพิ่มในสวนบ้าง เช่นมะปราง กระท้อน ขนุน มะพร้าว อะไรประมาณนี้ และเรื่องมันก็เกิดขึ้นในสวนผลไม้นั่นล่ะครับ
ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว น้ำค้างเริ่มลงมาบ้างแล้ว ซึ่งน้ำค้างนั้นเป็นอาหารชั้นดีของเหล่าจิ้งหรีด ซึ่งในสวนผลไม้จะมีจิ้งหรีดอยู่เป็นจำนวนมาก และเจ้าจิ้งหรีดนี่ล่ะ เป็นอาหารโปรดของผมเลยทีเดียว คืนนั้น เสียงจิ้งหรีดร้องระงมดังไปทั่วทั้งสวนเลย มันชวนให้น่าออกไปจับยิ่งนัก ผมเลยชวนอาเขยออกไปจับจิ้งหรีดกัน วิธีการจับก็ไม่ยากเท่าไร แต่ถ้าคนไม่เคยก็อาจจะยากสักหน่อย คือธรรมชาติของจิ้งหรีดเวลามันร้อง มันจะออกมาอยู่ที่ปากรูของมัน แต่หากมีอะไรไปรบกวน มันจะรีบมุดเข้ารูของมันทันที เวลาจับเราจะใช้เสียมอันเล็กๆ ปัก เพื่อดักรูมันไว้ไม่ให้มันมุดเข้ารูมันได้ แล้วก็จับตัวมันใส่ขวด ขวดที่ใช้ก็ขวดน้ำอัดลมพลาสติกนั่นล่ะครับ สองคนอาหลานเดินหาจับจิ้งหรีดกันไปเรื่อย จากสวนหนึ่งไปอีกสวนหนึ่ง คือสวนแต่ละแปลงมันก็จะติดๆ กันหมด แล้วเวลากลางคืนมันจะไม่รู้หรอกว่าสวนใครเป็นสวนใคร ก็เดินกันไปตามเสียงจิ้งหรีดร้อง เดินไปไกลแค่ไหนไม่รู้ จนมาถึงสวนหนึ่ง ซึ่งสวนนี้ดูสภาพมันรกกว่าสวนอื่นๆ ที่เดินผ่านมา เหมือนไม่มีคนดูแลมานานมากแล้ว หญ้าขึ้นรกสูงประมาณหัวเข่าได้ แต่เสียงจิ้งหรีดในสวนนี้ร้องดังดีเหลือเกิน
สองคนอาหลานก็เดินด้อมๆ มองๆ ส่องไฟหาเพื่อดูว่ามันร้องอยู่ตรงไหน แต่น่าแปลกที่เสียงร้องดังขนาดนั้น แต่เรากลับไม่เห็นรูจิ้งหรีดเลย แต่ก็ยังพยายามเดินหากันต่อ จนเดินไปถึงต้นมะปรางใหญ่ต้นหนึ่ง ดูลักษณะน่าจะอายุหลายสิบปีอยู่ ซึ่งใต้ต้นมะปรางนั้น เราสองคนได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องดังกว่าที่ผ่านมาเสียอีก เราก็ส่องไฟหาตามใต้ต้นมะปรางนั่นล่ะ ไฟที่ใช้นั้นเป็นไฟแบตเตอรี่ ที่ใช้หลอดแบบมีสายสวมไว้ที่หัว ไฟจะอยู่ตรงหน้าผากน่ะครับ.. ระหว่างที่ส่องไฟหาจิ้งหรีดอยู่ ก็ได้ยินเสียงเหมือนกิ่งมะปรางมันเขย่าอย่างแรง เสียงดัง ‘สุบๆๆ’ ทั้งที่ตอนนั้นไม่มีลมพัดมาเลยแม้แต่นิด เราสองคนเลยพร้อมใจกันส่องไฟขึ้นไปมองบนต้นมะปราง แต่กลับไม่มีอะไร.. ตอนนั้นสองคนอาหลานเริ่มใจคอไม่ดีละ จึงค่อยๆ หันหลังเตรียมจะเดินออกมาจากใต้ต้นมะปรางใหญ่นั้น พอก้าวขาออกมาสัก 2-3 ก้าว ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรสักอย่างร่วงลงมาจากต้นมะปรางดัง ‘ตุบ’ แบบดังมากๆ เราสองคนตกใจหันไฟส่องไปตรงนั้นพร้อมกัน ให้ตายเถอะครับ มันไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย.. ลองนึกภาพว่าใต้ต้นมะปรางนั้นมีหญ้าขึ้นประมาณหัวเข่า แต่เสียงที่ตกลงมานั้นมันเหมือนอะไรที่มีน้ำหนักเยอะมากๆ แต่หญ้าตรงจุดนั้นกลับไม่ยุบเลยสักนิด..
ก่อนที่จะทันได้คิดอะไรต่อ ก็ได้ยินเสียงใบมะปรางเขย่าดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ไม่ได้มีแค่เสียงเขย่า แต่มีเสียงแบบ ‘เฮือกๆ อึกอักๆๆ’ แบบคนขาดใจ หายใจไม่ออกอะไรประมาณนั้น สองคนอาหลานจึงส่องไฟขึ้นไปดูพร้อมกัน คราวนี้ล่ะ เต็มๆ ตาเลยครับ! เห็นร่างผู้หญิงคนหนึ่ง อายุน่าจะราวๆ 30-40 ปี กำลังดิ้นเร่าๆๆ ขาสะบัดไปมาอย่างแรง มีเชือกผูกที่คอ และเชือกนั้นมัดไว้กับกิ่งมะปราง ตาเหลือกปูดบวมแทบจะทะลักออกมาจากเบ้า ลิ้นจุกปาก สองมือก็กำลังดึงเชือกที่รัดคอไว้ ภาพนั้นทำให้ทั้งอาทั้งหลานยืนช็อค ขาสั่น เหงื่อแตกพลั่กๆๆ ร่างแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นตรงนั้นเลย! ร่างนั้นดิ้นอยู่ราวๆ เกือบนาที แล้วก็หยุด.. ก่อนจะถลึงตามามองที่เราสองคน แล้วพูดเสียงเย็นๆ หลอนๆ ว่า ‘เอากูลงไปหน่อย..’ แล้วก็หัวเราะอย่างสะใจ ยังไม่พอ ร่างนั้นยังพูดต่ออีกว่า ‘ถ้ามึงไม่ช่วย..เดี๋ยวกูลงไปเองก็ได้!’ พอพูดจบ ร่างนั้นก็ร่วงลงมาดัง ‘ตุบบ’ เสียงดังสนั่นแบบเดียวกับที่ได้ยินตอนแรกเลย เท่านั้นล่ะ พอตั้งสติได้ ทั้งอาทั้งหลานพากันวิ่งเตลิดเปิดเปิง วิ่งไปไหนต่อไหนไม่รู้ จนมาถึงบ้าน พอเข้าบ้านได้รีบเอาพระมาคล้องคอ แล้วรีบเข้านอนคลุมโปงทันที
จนเช้ามาพากันจับไข้ จนย่าของผมซึ่งตอนนั้นท่านยังไม่เสีย มาถามว่า ‘ไปทำอะไรกันมา ถึงพากันจับไข้แบบนี้?’ ผมก็เลยเล่าให้ย่าฟัง ย่าเลยเล่าให้ฟังว่า ‘ที่แปลงนั้นน่ะ เจ้าของที่แกตายไปนานแล้ว สวนนั้นก็เลยไม่มีใครมาดูแล..’ ซึ่งพอถามไปถามมา เจ้าของที่ก็คือคนที่พวกเราเจอนั่นล่ะ ย่าบอกว่าแกไปผูกคอตายที่ใต้ที่ต้นมะปรางนั่นเอง
Story by คุณ จอมกะล่อน เทพวายุ