เรื่องนี้มาจากคุณ Ratchada Charoenthorn สมาชิกกลุ่ม TheHOUSE ครับ คุณ Ratchada เล่าว่า.. ครั้งหนึ่งในอดีต ถึงเวลาที่แม่ของเราต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ด้วยเพราะอายุที่เข้าวัยชรา พอเห็นแม่แอบย่องเข้าห้องน้ำกลางดึกคนเดียว แล้วก็เกิดอุบัติเหตุหกล้มบ่อยๆ เราจึงตัดสินใจโทรไปที่มูลนิธิโรงพยายาลรัฐแห่งหนึ่ง เพื่อขอรับบริจาคหากมีเตียงคนไข้สักเตียง จะเอามาให้แม่นอน ยกไม้กั้นเตียงไว้แม่จะได้แอบลงมาเองไม่ได้อีก เราเองก็จะได้นอนหลับสนิทสักที คือเราคิดแค่นี้เองจริงๆ
เราตัดสินใจปุบปับในเช้าวันนั้น แล้วโทรไปในเวลา 9 โมง ทางมูลนิธิแจ้งว่ายังไม่มีใครบริจาคเตียง ต่อมาราวๆ 11 โมง ทางมูลนิธิก็โทรมาแจ้งว่ามีคนบริจาคเตียงมาเมื่อสักครู่ เราจะรับไหม? เราเลยถามความเป็นมา ทราบว่าผู้บริจาคเป็นลูกสาวของคนไข้เจ้าของเตียง ตัวคนไข้คือคุณแม่ของเขาที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสักพักนี้เอง หลังจากเคลื่อนศพไปวัดแล้ว ผู้บริจาคจึงยกเตียงให้โรงพยาบาล เตียงยังใหม่มาก เราก็เลยตกลง.. เมื่อเตียงมาถึง มาพร้อมที่นอนและผ้าปูสีขาวเหมือนในโรงพยาบาล เราทำความสะอาดแล้วพาแม่ขึ้นเตียง ยกไม้กั้นเตียงขึ้น ความรู้สึกคือเหมือนเราชนะแล้ว ในที่สุดเราก็ขังแม่ไว้ได้ เราเห็นสายตาแม่ที่มองมา เอามือเล็กๆ นั้นจับไม้กั้นเตียงไว้ เราไม่รู้ว่าแม่คิดอะไร แต่มาวันนี้ เรารู้เพียงว่า เราคิดผิด เราไม่ควรนำมันเข้ามาเลย ถ้ารู้ว่าแม่จะต้องเจอกับอะไร เราจะไม่มีวันทำอย่างนี้เลย..
ก่อนเตียงมา แม่พอเดินได้เอง น้ำหนักตัวแม่ราวๆ 45 กิโล พูดได้ ทำอะไรได้ เพียงแต่จะช้าๆ ตามประสาคนแก่อายุ 80 หลังจากแม่ขึ้นเตียง เราก็จะพาลงมาเฉพาะตอนกินข้าว อาบน้ำเท่านั้น.. วันหนึ่ง เราทำกับข้าวในครัว แต่เดินมาชะโงกดูแม่ แวบหนึ่ง เราเห็นเงาดำๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ปลายเท้าแม่ เราตกใจมาก! หันกลับไปมองอีกที ก็ไม่มีแล้ว เราคิดว่าตัวเองตาฝาด เลยไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ต่อมาไม่กี่วัน ลูกคนเล็กเรานั่งเล่นลูกบอลแล้วกลิ้งเข้าไปใต้เตียงแม่ เขาจะมุดเข้าไปเก็บ แต่ยังไม่ทันมุด เขาก็ชะงักแล้วรีบวิ่งมาซบตักเรา เขาบอกว่ามีผู้หญิงหน้าตาน่ากลัวนั่งอยู่ใต้เตียง มองมาตลอดเวลา เขากลัว เราได้ฟังนี่ขนลุกนะ แต่เราไม่กลัว.. นับจากนั้นมา ลูกมักจะบอกเสมอว่าผู้หญิงคนนั้น นั่งอยู่ปลายเตียงบ้าง ปลายเท้ายายบ้าง ใต้เตียงบ้าง
จนเราเริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของแม่ นับวันแม่ยิ่งผอมลงจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก น้ำหนักตัวเหลือเพียง 30 กิโล ไม่พูดไม่จาเลย พอจะอ้าปากพูดก็ไม่มีเสียง ไม่มีเรี่ยวแรง จะพลิกตัวก็ทำเองไม่ได้ แต่สิ่งที่แปลกคือ สายตา สายตาที่แข็งกร้าว จ้องเอาๆ ไม่หลบตาใคร จนคนในบ้านต้องหลบสายตานั้นเอง ทุกคนเริ่มกลัว คนอื่นมาหาก็ไม่พูดด้วย บางทีก็จ้องเหมือนไม่รู้จักกัน แล้วที่แปลกอีกอย่างคือ แม่กินเยอะมากกกก อะไรที่ตลอดชีวิตแม่ไม่กินเลย เช่น ปลา ไก่ แม่กลับกินเอากินเอา กินทุกอย่างที่ไม่ชอบกิน กินเยอะจนเรางงว่า ทำไมกินขนาดนี้แต่น้ำหนักลด? เบาหวานก็ไม่ได้เป็น ลูกทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘บางครั้งรู้สึกเหมือนไม่ใช่แม่ โดยเฉพาะสายตาที่มองนั้น ไม่ใช่แน่นอน..’ กลางดึก หลายครั้งที่เราตื่นมาแล้วเห็นแม่นอนมองมา สายตาสบกัน เราต้องหลบเพราะไม่อยากมอง บางคืนเห็นแม่หลับตา แต่มือพยายามจะถอดสร้อยพระออกจากคอ เรารีบดึงลงมาไม่ให้แม่ถอดได้ทุกครั้ง พอถามแม่ว่าถอดทำไม? แกส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน บางคืน เราได้ยินเสียงแม่พูดกับใครบางคนฟังไม่ได้ศัพท์ บางครั้งก็นอนชูแขนกวักมือเรียกใครไม่รู้ เราได้แต่นอนมอง ในใจก็นึกหวั่นกลัวว่าแม่จะฮึดปีนเตียงตกลงมาสักวัน
วันหนึ่งเราเผลอโยนผ้าสีชมพูที่เอาไว้รองนั่ง ไปตกลงบนหัวเตียงแม่ เราหงุดหงิดเลยปล่อยไว้อย่างนั้น จนดึกค่อยมาเก็บ คืนนั้นเราฝันว่าแม่เรียกชื่อเรา พอหันไปดูเห็นแม่ลุกขึ้นนั่งเอง พยายามจะปีนลงจากเตียง เราตกใจรีบพุ่งไปที่เตียง แม่นั่งก้มหน้า เราก็เรียกแม่ๆ พอแม่เงยหน้าขึ้นมากลายเป็นหน้าผู้หญิงคนอื่น ดำๆ บวมๆ พอมองขึ้นไปบนหัวของเขา เรานี่ร้อนวาบไปทั้งตัวเลย เพราะบนหัวเขามีผ้ารองนั่งสีชมพูที่เราโยนไปตกที่หัวเตียงแม่เมื่อตอนเย็น เขาพยายามจะพุ่งมาทำร้ายเรา เราเลยตกใจแล้วก็สะดุ้งตื่น เราหันไปมองแม่ เห็นแม่กำลังละเมอ กวักมือเรียกใครไม่รู้ พอดูนาฬิกาก็ตี 3 พอดี เราเริ่มรู้สึกว่าแบบนี้ชักไม่ค่อยดีแล้ว..
นานวันเข้าแม่เริ่มเป็นแผลกดทับ ทั้งที่เราดูแลอย่างดีมาตลอด แผลเป็นถุงน้ำใสๆ ใหญ่มาก แต่แปลกที่นอนทับก็ไม่แตก สะกิดโดนก็ไม่เจ็บ เราทุกคนเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรแปลกขึ้นทุกทีๆ จนเราตัดสินใจไปปรึกษาอาจารย์ที่นับถือกันท่านหนึ่ง ท่านได้ดูให้ และถามถึงเตียง หลังจากคุยกันเราจึงได้รู้ว่าเตียงที่รับมานั้น มีวิญญาณของเจ้าของเตียงตามมาด้วย เพราะพอหลังจากเสียชีวิต ลูกสาวก็รีบยกให้เรา คนตายติดมากับเตียงด้วยเพราะไม่รู้จะไปไหน และเราก็อนุญาตให้ขนเตียงเข้าบ้านมาเองด้วย จังหวะเดียวกับที่แม่เราขึ้นไปนอนทับที่เขาพอดี ด้วยอายุที่มากแล้ว ทำให้ยามใดที่แม่อ่อนแอ จิตตก ดวงวิญญาณนี้จึงเข้าสิงในร่างแม่เพื่อกินอวัยวะข้างใน หรือแม้แต่อาหารที่เราหาให้แม่กิน วิญญาณนั้นก็กินไปด้วย นี่คือสาเหตุที่ทำไมแม่จึงกินอาหารที่แม่ไม่ชอบได้ บ่อยครั้งที่แม่หลับยาวไป 2 วัน 2 คืน เรียกก็ไม่หือไม่อือ เหมือนคนหมดสติ พอตื่นมาก็ตาแข็งเหมือนเดิม แต่ก็มีบ้างบางวันที่พูดได้ สายตานุ่มนวลเหมือนที่แม่เป็นมาทั้งชีวิต เราสงสารที่แม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ อาจารย์บอกว่า เวลานี้ดวงจิตของแม่อยู่ที่หัวเตียง แม่พยายามไล่วิญญาณนั้นไป และพยายามร้องเรียกเราให้ช่วย แต่ไม่มีใครได้ยินเลย.. วิญญานนั้นยึดร่างแม่ไว้ และกัดกินทุกวันจนแม่ผ่ายผอมลง หากอยากไล่เขาไป ท่านจะทำพิธีให้ แต่เมื่อเขาไป แม่ก็จะไปด้วย..
นั่นหมายความว่า เมื่อวิญญานนั้นออกไป ร่างกายของแม่เวลานี้ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ให้เราทุกคนทำใจ ภายใน 3 วัน แม่จะเสียชีวิต เราสงสารแม่มาก จึงตกลงให้อาจารย์มาทำพิธี เมื่ออาจารย์มา ท่านให้ลูกทุกคนกราบขอขมาแม่ และท่านก็ทำพิธีให้อยู่พักใหญ่ จนเสร็จ แม่ลืมตาตื่นขึ้นมา สายตานั้นใช่เลย ใช่แม่เราแน่ๆ แม่ยิ้ม และพยายามยกมือไหว้อาจารย์ อาจารย์บอกเราว่า ตอนนี้วิญญานเจ้าของเตียงนั่งอยู่ที่ปลายเตียง จะเข้าร่างแม่ไม่ได้แล้ว และให้เตรียมตัวจัดงานศพได้เลย แม่เรากำลังจะไปแล้ว.. เข้าวันที่ 2 หลังจากทำพิธี จู่ๆ แผลกดทับใสๆ นั้นก็ปริแตก แต่น้ำที่ไหลออกมากลับเป็นเลือดสีม่วงๆ เข้มๆ ไหลซึมออกมาตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน แม่เริ่มบอกว่าเจ็บ ไม่ไหวแล้ว เป็นครั้งแรกที่แม่บอกว่าเจ็บ แม่กินอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้แม้แต่น้ำ เราก็ใจไม่ดี จนเข้าวันที่ 3 วันนั้นแปลกมาก คนในบ้านไม่อยู่ มีเรากับลูกคนเล็กอยู่ บรรยากาศมันเงียบ เงียบมาก ลมไม่พัดเลย อึดอัด ร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก แม่เอาแต่มองปลายเตียง และเริ่มหายใจดังขึ้นๆ จนตัวโยน เราต้องให้ออกซิเจนแต่ก็ไม่ดีขึ้น หายใจดัง ถี่ มองแต่ปลายเท้า เราอึดอัดเดินไปเดินมา จู่ๆ ไม่รู้นึกยังไง เราเดินไปหาแม่อย่างไม่รู้ตัว และทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาตลอดชีวิต นั่นคือ ขอโทษแม่ที่เคยดุว่า ล่วงเกิน ยามที่เราดูแลแม่แล้วเหนื่อย ขอโทษที่เคยนอกลู่นอกทาง ขอโทษที่บอกว่าไม่รักแม่ และเราก็บอกแม่ว่า เรารักแม่นะ ไม่อยากให้แม่ตาย แต่เวลานี้แม่ไปเถอะ แม่ไม่ต้องห่วงเรา เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แม่ไปให้สบายเถอะ.. ถึงจะรักแม่เพียงใดแต่เราก็ไม่อยากให้แม่ต้องทนทรมานอีกต่อไป เราจับมือแม่มาแนบอก เป็นสิ่งที่ในชีวิตไม่เคยทำเลย พยายามไม่ให้น้ำตาหยดใส่แม่ กลัวแม่จะยังมีห่วง
ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที แม่ก็เงียบ นิ่ง และหลับไปตลอดกาล..
รุ่งขึ้นหลังจากเคลื่อนศพแม่ไปวัด เราก็บริจาคเตียงนั้นให้กับมูลนิธิที่มารับศพแม่ไป เราจุดธูปบอกเจ้าของเตียงให้เขาไปซะ และอย่าไปทำให้ใครเดือดร้อนอีก เป็นกรรมเปล่าๆ เรารู้เขาไม่มีที่ไป ใจก็อยากจะบอกลูกเขา แต่กลัวเขาไม่เชื่อ ทุกวันนี้เรายังจำได้เลยว่าเขาชื่อ-นามสกุลอะไร เราขอบคุณที่ให้แม่เรานอนเตียง และขออโหสิกับสิ่งที่เขาทำกับแม่เรา และหวังว่าเขาจะไม่ไปทำกับใครอีก..
Story by Ratchada Charoenthorn