เรื่องนี้ส่งมาจากคุณเมครับ คุณเมเล่าว่า.. เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เราเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ เป็นนักศึกษารุ่นแรกที่ได้เข้าไปอยู่หอพักใหม่ ตึกใหม่ ของมหาวิทยาลัยนี้ค่ะ หอพักนี้ถึงจะใหม่ แต่กลับมีเรื่องราวแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้เกิดขึ้นตลอดการอยู่หอพักแห่งนี้เลยค่ะ (เยอะจนเล่าไม่หมด) ใครที่เคยอยู่สมัยนั้นจะรู้ดี.. ขออธิบายลักษณะอาคารหอพักก่อนนะคะ สมัยนั้นหอพักจะมีทั้งหมด 9 อาคาร เป็นห้องพัดลมอยู่ได้ 4 คน อาคารทั้งหมดจะแบ่งเป็นสองฝั่งมีถนนตรงกลาง รอบนอกเป็นป่าและภูเขา เราอยู่อาคาร 8 ซึ่งอยู่เกือบจะในสุด หอพักมี 4 ชั้น เราอยู่ชั้น 3 ห้อง 314 ค่ะ ลักษณะห้องพักแต่ละห้อง ประตูจะตรงกันหมด คือประตูระเบียง > ประตูห้อง > ประตูห้องตรงข้าม > ประตูระเบียงห้องตรงข้าม ซึ่งเราเคยรู้มาว่าประตูตรงกันแบบนี้ เค้าเชื่อว่าเป็น ‘ทางผีผ่าน’
ห้องเรามีรูมเมท 4 คน เตียงจะอยู่คนละมุมห้องเลย ด้านหลังตรงกลางเป็นประตูเปิดไประเบียงห้อง ซ้ายมือเป็นห้องน้ำ เรานอนมุมขวามือติดกับประตูห้อง แค่ช่วงสัปดาห์แรกที่เข้ามา ก็มีเหตุการณ์แปลกๆ เลยค่ะ เพื่อนในห้องเราทุกคนได้ยินเหมือนกันหมด เป็นเสียงเหมือนคนลากเหล็กเดินผ่านหน้าห้อง ได้ยินบ่อยมากๆ เคยเปิดประตูไปดูก็ไม่มีอะไร.. หรือเสียงเด็กวิ่งเล่นหน้าห้องก็มี ลองคิดดูว่าหอพักมหาวิทยาลัยเวลาดึกๆ จะมีเด็กมาวิ่งเล่นได้ยังไงกัน? เราเคยได้เจอกับป้าแม่บ้านเก่าแก่ของมหาวิทยาลัย ป้าเล่าให้ฟังว่า ‘หนูอยู่หอ 8 ใหม่ใช่ไหม? รู้ไหมว่าตึกนั้นน่ะเคยมีคนงานตกลงมาตาย เป็นคนงานต่างด้าว เค้าเลยฝังศพไว้ในป่าด้านหลังตึกนี่เอง..’ เราได้ฟังก็หลอนสิคะ ไม่รู้ป้าแกจะบอกทำไม!
อยู่ไปได้ไม่ถึงเดือน ก็มีเหตุการณ์ให้หลอนอีกค่ะ นักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่อยู่ชั้น 4 เธอปวดท้องคลอดก่อนกำหนด เลยคลอดเองในห้องน้ำค่ะ! วันนั้นที่หอคือวุ่นวายมากๆ เราอยู่ในเหตุการณ์ด้วย มีรถพยาบาลมารับตัวนักศึกษาคนนั้นไป เลือดนี่ไหลตามทางเลยค่ะ สภาพคือเธอหมดสติ แต่หัวเด็กนี่ออกมาแล้วครึ่งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ช่วยไว้ไม่ทัน เธอไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลค่ะ.. ฟังจากเพื่อนในหอได้ความว่า เธอท้องสาว เลยท้องไม่ใหญ่มาก อาศัยใส่เสื้อใหญ่ๆ ปิดไว้ตลอด เรามารู้ว่าเธอคนนี้ท้องก็วันนั้นเอง แล้ววันที่เกิดเหตุ เธออยู่ห้องคนเดียว เพื่อนรูมเมทโทรหาก็ไม่รับสาย เลยกลับห้องมาดูถึงเห็นว่าเธอปวดท้องคลอด และพยายามคลอดเองในห้องน้ำ.. หลังจากนั้นมา นักศึกษาที่อยู่ชั้น 4 ก็เริ่มเจอค่ะ เจอนักศึกษาคนที่เสียชีวิตมากดน้ำร้อนบ้าง เจอเดินผ่านหน้าห้องบ้าง เหมือนเธอยังไม่รู้ตัวว่าตาย พอเรื่องเริ่มไปถึงหูใครต่อใคร ทำให้แต่ละห้องพากันย้ายออกหมด จนกลายเป็นว่าชั้น 4 ของอาคาร 8 เป็นชั้นร้างไม่มีคนอยู่เลย
กลับมาที่ห้อง 314 ของเราบ้างค่ะ ด้วยความที่มีเรื่องหลอนๆ อะไรมากมายที่ตึกนี้ รวมถึงเสียงต่างๆ ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ทำให้เรากับเพื่อนรูมเมทตกลงกันว่า จะเอาน้ำแดงมาวางไว้ที่ระเบียงหลังห้อง เอามาวางเรื่อยๆ ทุกวัน เพราะก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว เผื่อมันจะช่วยอะไรได้บ้าง จนทางมหาวิทยาลัยรู้ ห้องเราเลยโดนเรียกไปสอบถาม ก็เล่าให้ฟังไปตามที่เราได้เจอ ว่ามีเสียงอย่างงั้นอย่างงี้ แล้วก็บอกอีกด้วยว่า ห้องอื่นๆ ในหอก็เห็นมียัน มีกระจกมาติดหน้าห้องก็ไม่น้อย คิดว่าน่าจะเจออะไรกันบ้างล่ะ ทางมหาวิทยาลัยก็ไม่อยากให้แตกตื่น เลยบอกว่าจะนิมนต์พระมาทำพิธีให้ เพราะตั้งแต่เปิดตึกมาใหม่ก็ยังไม่เคยทำเลย (แต่จนเราย้ายออกก็ยังไม่เห็นว่าจะมีพระมาสักครั้งนะ)
เรากับเพื่อนรูมเมทอีก 3 คน ที่ทนอยู่ห้อง 314 มาเป็นเดือน ได้ยินเสียงลากเหล็ก เสียงเด็กวิ่งเล่น อยู่แทบจะทุกคืน จนอยู่ไม่ไหวแล้ว เลยพากันไปนอนห้องเพื่อนที่อยู่ห้อง 316 เรียกว่าเตียง 3 ฟุต แต่นอนอัดกันเตียงละ 2 คนเลยค่ะ ห้องนึงนอน 8 คน แต่ก็แปลกที่เวลามานอนห้องนี้แล้วกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย พวกเราเลยนอนห้อง 316 อยู่หลายวัน ทิ้งห้อง 314 ไว้อย่างนั้น จนรูมเมทเราบางคนก็เริ่มแยกออกไปนอนกับเพื่อนสนิทตัวเองที่อาคารอื่นบ้าง
จนมีเหตุการณ์ที่เราเจอกับตัวแบบหลอนขั้นสุด ผ่านไปกี่ปีๆ ก็ยังคงติดตาไม่เคยลืม เป็นช่วงเดือนที่ 3 ของการเข้ามาอยู่หอนี้ค่ะ.. วันนั้นเราไม่สบาย ก็เลยเกรงใจกลัวว่าเพื่อนจะติด เลยแยกกลับไปนอนห้อง 314 คนเดียว ที่กล้าไปเพราะว่าช่วงที่ย้ายไปห้อง 316 ก็ไม่ค่อยได้ยินอะไรแปลกๆ แล้ว.. คืนนั้นเราตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อจะตื่นมากินยาทุกๆ 4 ชั่วโมง ตอนนั้นจำได้แม่นเลยว่าเป็นเวลา ตี 2:45 เราก็งัวเงียลุกขึ้นมาจะหยิบยากิน เสียงเงียบสงัดมาก มีแต่เสียงแกะซองยาของเราเท่านั้น พอกินยาเสร็จ กำลังจะล้มตัวนอนต่อ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง ‘แก่บ..แก่บ..แก่บ..’ เสียงเหมือนคนกำลังตัดเล็บค่ะ เสียงมันค่อยๆ ดังขึ้นๆ เรื่อยๆ เราฟังจนแน่ใจแล้วว่าต้นเสียงนั้นมาจากระเบียงห้อง ด้วยความง่วงเลยหงุดหงิด ยังไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น คิดว่าอาจจะเป็นรูมเมทสักคนที่กลับมานอนห้อง เราเลยลุกไปเปิดประตูระเบียงห้อง มีแสงไฟจากข้างตึกลอดมาเพียงเล็กน้อยพอมองเห็นระเบียง ภาพที่เราเห็น และยังติดตาจนลืมไม่ลงคือ มีผู้หญิงคนหนึ่งตัวซูบซีด ดวงตาลึกโพรง นัยน์ตาไม่มีสีดำ ผมสั้นประบ่า สวมชุดนอนสีขาวเก่าๆ มีคราบคล้ายเลือดอยู่ที่ชายกระโปรง เธอนั่งอยู่ในท่ายกเท้าขึ้นมากัดเล็บเท้าตัวเอง ที่มุมปากเธอมีเลือด เราเห็นแบบนั้นคือช็อคสุดขีด จำได้ว่าร้อง ‘กรี๊ดดดดดด’ แบบสุดเสียง แล้วทุกอย่างก็วูบค่ะ..
มารู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่โรงพยาบาล ตื่นขึ้นมาเจอหน้าพ่อกับแม่ เพื่อนเราเป็นคนโทรบอกพ่อกับแม่ให้เอง พ่อกับแม่บอกว่าเราตื่นมาแล้วครั้งนึง แต่พูดจาไม่เป็นภาษา ร้องไห้โวยวายเหมือนคนบ้า พูดแต่ว่า ‘กลัวแล้วๆ’ เราอยู่โรงพยาบาล 2 คืน แต่อาการไม่ดีขึ้น ทั้งที่หมอก็บอกไม่ได้ว่าผิดปกติอะไร? พ่อกับแม่เลยขอย้ายออกเพื่อไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลที่จังหวัดที่เราอยู่ แต่พ่อเรามีความเชื่อว่าเราไม่ได้ป่วยธรรมดา แต่มีบางอย่างผิดปกติ พ่อกับแม่เราเลยพาไปหาหลวงน้า ท่านเป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อเรา เป็นคนมีวิชาอาคม ถึงกับเลี้ยงผีไว้เฝ้ากุฏิ.. หลวงน้าเจอเรา ท่านพูดเลยว่า ‘เจอดีเข้าแล้วสิ?’ ตอนนั้นเราอยู่ในอาการหวาดกลัวกอดแม่อยู่ตลอดเวลา.. หลวงน้าท่านให้เราอาบน้ำมนต์ ครั้งแรกที่ท่านบริกรรมคาถาแล้วฟาดลงไปกลางหัว เหมือนเราได้ยินท่านเรียกเสียงดังมาก ‘เมกลับมา!!!’ เรามีสติอีกครั้งพร้อมกับงงว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แล้วก็ทำพิธีต่อจนเสร็จ ความรู้สึกคือเหมือนเราเป็นคนใหม่เลยค่ะ ท่านให้เราอาบน้ำมนต์ 7 วัน ถวายสังฆทาน 7 วัน และท่านให้ยันต์ 108 มาติดตัว ท่านยังบอกอีกว่า ‘ที่ที่อยู่เป็นทางผีผ่าน ให้รีบย้ายออกทันที..’ แล้วเราก็ต้องทำบุญสืบชะตาครั้งใหญ่ และทำบุญให้ผู้หญิงคนนั้นด้วยค่ะ..
เราถามเพื่อนทีหลังว่าเราไปอยู่โรงพยาบาลได้ยังไง? เพื่อนบอกว่า ตอนเช้ากำลังจะไปปลุกเราให้ตื่นไปเรียน แต่เคาะห้องเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเปิดประตู เลยไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป ภาพที่เห็นคือเรานอนสลบอยู่ตรงระเบียงหลังห้อง เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น เลยเรียกรถพยาบาลนี่แหละ เราเลยถามว่าไม่ได้ยินเสียงเรากรี๊ดเหรอ? ปรากฏว่าไม่มีใครได้ยินสักคนเลยค่ะ.. 2 อาทิตย์ที่เราขาดเรียน แต่ก็แจ้งมหาวิทยาลัยไว้ว่าเราป่วย พอเรากลับไปใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง ก็มีคำถามจากเพื่อนๆ มากมาย แต่เราก็บ่ายเบี่ยงไม่อยากพูด กลัวเพื่อนที่ยังอยู่จะกลัว แล้วเราก็ย้ายออกเลยค่ะ
หลังจากที่เราย้ายออกมาสักพัก ก็มีข่าวร้ายเกี่ยวกับเพื่อนรูมเมทของเราคนหนึ่งค่ะ ที่อยู่ๆ ก็ป่วยทรุดหนักลง แล้วก็ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเอาเฉยๆ ซึ่งเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เราเจอหรือเปล่า เพราะเราก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง.. เรื่องนี้ก็ผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว คิดว่าปัจจุบันอะไรๆ ก็คงดีขึ้นแล้วค่ะ..
ปล. จากวันนั้นเรากลายเป็นคนมีเซ้นส์ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร? แต่ก็ขอให้ไม่ต้องเจออะไรแบบชัดเจนขนาดนั้นอีกแล้ว ภาพยังติดตามาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ..
Story by คุณเม