เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ส่งเข้ามาจากคุณตั้ม คุณตั้มเล่าว่า ย้อนไปเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่นคึกคะนอง มีโรงพยาบาลร้างชื่อดังแห่งหนึ่ง ในจังหวัดทางภาคใต้ สาเหตุที่ปิดตัว และปล่อยให้รกร้าง ชาวบ้านละแวกนั้นเล่าว่า ค่ารักษาพยาบาลแพงบ้าง บ้างก็บอกว่า มีผู้หญิงกระโดดตึกตาย คนไข้โดนผีหลอกบ้าง เลยพากันหนีออกจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนั้นเลย สาเหตุไม่ค่อยแน่ชัด แต่ที่แน่ๆ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับโรงพยาบาล บอกว่าที่ตึกด้านหลังเนี่ย มักจะได้ยินเสียงอะไรก็ไม่รู้ หล่นลงมากระแทกหลังคาตึกด้านล่างบ่อยๆ ในช่วงเวลาเดิมๆ เสียงดังมาก แต่ก็ไม่ได้สนใจ จนกระทั่ง เคยมีคนเห็นผู้หญิง กระโดดจากระเบียงห้อง ลงมากระแทกกับหลังคาตึกชั้นล่าง เสียงดังสนั่น.. แต่มันก็เป็นแค่เรื่องเล่าต่อๆ กันมา ที่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
พอพวกผมได้ยินเรื่องเล่าอะไรแบบนี้ ก็ไปกันเลย ของแบบนี้อยากรู้ อยากลอง เป็นธรรมดา ตอนนั้นประมาณ 6 โมงเย็นได้ พวกผมไปกัน 5 คน แต่พอไปถึงหน้าโรงพยาบาล กลับโดนยามไล่ออกมา แต่ด้วยความที่อยากรู้จริงๆ ผมเลยถามจากพี่ยาม ว่าที่ชาวบ้านเค้าเล่ามา เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? ดูพี่ยามแกก็ชอบเรื่องแบบนี้ เล่าเป็นตุเป็นตะ
แกเล่าว่า ทุกครั้งที่แกมาเฝ้าเวร แกจะเอาเครื่องเซ่นเข้าไปไหว้ ที่ตรงประตูเลื่อน ทางเข้าโรงพยาบาลทุกครั้ง มีอยู่วันนึงเกิดลืมเครื่องเซ่น แล้วก็เผลอหลับไปในป้อมยาม แต่จู่ๆ ก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะเสียงเคาะกระจก ดัง ‘ปึ้งๆๆ’ เคาะแบบกระจกเทบแตก แต่พอออกไปดูกลับไม่มีอะไร เลยกลับเข้ามาจะนอนต่อ แต่สายตาก็ไปสะดุดกับเงา ที่กระจกหน้าต่างบานเกร็ด สะท้อนเห็นเป็นลุงแก่ๆ หลังค่อมเดินอยู่ข้างนอก แต่พอออกมาดูก็ไม่มีใคร ก็เลยนึกขึ้นได้ ว่าคงลืมเอาเครื่องเซ่นไปไหว้ และพี่ยามก็เล่าอีกว่าทุกๆ วัน ช่วงบ่ายๆ จะได้ยินเสียงดัง ‘ตึ้ง~’ เหมือนอะไรหล่นลงมาจากบนตึก กระแทกกับหลังคาข้างล่าง จนวันนึง พี่ยามแกก็ได้เห็นกับตาตัวเองนี่แหละ เป็นผู้หญิงใส่ชุดคนไข้กระโดดลงมา.. พวกผมดูยามแกเล่าไป เหมือนแกก็เจอมาจนชินแล้ว และพี่ยามแกก็บอกว่าแกไม่กลัว พอเล่าจบ พี่ยามก็นัดพวกผมว่า ‘พรุ่งนี้ตอนเที่ยง พวกมึงมาใหม่ เดี๋ยวกูพาเข้าไปสำรวจข้างใน..’ ตอนนั้นนี่พวกผม อะดรีนาลีนพุ่งพล่านเลยครับ
วันต่อมา พวกผมก็มากันอีก คราวนี้มากันเกือบ 10 คนครับ ตอนนั้นเวลาเที่ยงกว่าๆ สิ่งแรกที่เห็นคือ เครื่องเซ่นไหว้หลังประตูเลื่อน พวกผมก็ไหว้กัน และบอกว่าไม่ได้มาลบหลู่ แค่มาสำรวจเฉยๆ.. พี่ยามแกไม่รอช้า เดินไปเปิดสวิทช์ไฟตึกก่อนเลย แต่ตอนนั้นมีเพื่อนผม 4 คนกลัว ไม่กล้าเข้าไป.. เชื่อมั้ยคับ ข้างนอกแดดเปรี้ยงร้อนมาก เหงื่อไหล แต่พอเข้ามาในตัวตึก บรรยากาศกลับเย็นยะเยือก วังเวง ชวนขนลุกไปทั้งตัว เพราะไฟเปิดติดได้อยู่เพียงไม่กี่ดวง เลยค่อนข้างมืด.. พี่ยามพาพวกผมขึ้นไปชั้น 2 โดยใช้บันไดหนีไฟ เดินสำรวจไปเรื่อยๆ อยากจะบอกว่าอุปกรณ์ทุกอย่าง ยังวางไว้เหมือนเดิม เพราะแทบไม่มีใครได้เข้ามาเลย
พี่ยามพาพวกผมมาห้องห้องหนึ่ง แล้วชี้ไปตรงคราบดำๆ แล้วพูดขึ้นว่า ‘เห็นรอยนั่นมั้ย มันคือรอยเลือดนั่นเอง แต่เคยมีคนว่า เช็ดยังไงก็เช็ดไม่ออก’ ผมเลยถามยามว่า ‘ห้องนี้ห้องอะไร’ พี่ยามก็ชี้ไปที่ป้าย ที่ตกอยู่ที่พื้น ‘ห้องล้างศพ’ พอทุกคนเห็นเท่านั้นแหละครับ หยุดชะงักทันที และจู่ๆ มีเพื่อนคนนึงยืนตัวสั่น ร้องไห้อยู่กับที่ ถามอะไรก็ไม่ตอบ พวกผมเลยตัดสินใจกลับออกมาดีกว่า แต่ยังไม่ทันจะลงบันไดเลย ก็ได้ยินเสียงดัง ‘ตึ้ง~’ เหมือนอะไรสักอย่าง หล่นลงมากระแทกพื้นอย่างแรงข้างนอก พวกผมทุกคนวิ่งหนีออกมาแบบไม่คิดชีวิต.. เพื่อนที่ไม่ได้เข้าไปถามว่าตกใจอะไรกัน? ผมก็ถามมันว่า ‘มึงไม่ได้ยินเสียงเมื่อกี้หรอ เสียงดังมาก’ มันกลับบอกว่าไม่ได้ยินอะไรเลย.. จากนั้นพวกผมก็รีบพากันไปจากที่นี่ทันทีเลยครับ
ผมแวะไปร้านข้าวนั่งกินกัน หลังจากที่ตั้งสติกันได้ ผมเห็นเพื่อนที่มันร้องไห้ ยังนั่งซึม ตัวสั่นอยู่ เลยถามมันว่า เป็นอะไร ไปเห็นอะไรมา? มันบอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า.. ‘ระหว่างที่พวกมึง เดินสำรวจห้องล้างศพอยู่ กูหันไปมองกระจก เห็นพี่ยาม..แม่งไม่มีหัวว่ะ..’ พวกผมได้ฟัง ข้าวแทบพุ่งเลยครับ ขนลุกแปร๊บขึ้นมาเลย.. จนสุดท้ายได้ผ่านไปแถวนั้นอีก ก็คงจริงอย่างที่เพื่อนผมเห็นล่ะครับ ที่นั่นไม่เคยมียามเลย ตั้งแต่มันปิดร้างมา..
นี่ขนาดกลางวันแสกๆ นะครับ ถ้าเป็นกลางคืนจะขนาดไหน..
Story by คุณตั้ม