เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของคุณเอก (นามสมมติ) เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน สมัยที่คุณเอกยังเป็นวัยรุ่น คุณเอกเล่าว่า.. ผมเชื่อว่าหลายๆ คน ต้องเคยผ่านประสบการณ์คล้ายๆ แบบนี้กันมาบ้าง นั่นคือ การจับกลุ่มกันไปสำรวจบ้านร้าง บ้านผีสิง สถานที่ลึกลับต่างๆ ที่มีตำนานเรื่องเล่าอะไรแบบนี้.. สมัยนั้น พวกผมเป็นวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ที่สนิทกัน ไปไหนไปด้วยกันตลอด ไม่ว่าจะไปเที่ยว หรือไม่ก็อยู่ตามบ้านเพื่อนกันเกือบทุกวัน จนวันหนึ่ง มีเพื่อนในกลุ่มคนนึงเอ่ยปากชวนว่า ‘วันนี้รอบดึก เรารวมตัวไปสำรวจบ้านผีกันเถอะ!’ โดยจุดหมายก็คือ บ้านร้างผีสิง แถวพัฒนาการ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนรู้จักแน่ๆ ถ้าบอกชื่อสถานที่ไป..

พอได้เวลาที่นัดหมาย ประมาณเที่ยงคืน พวกผมก็เริ่มเดินทางทันที คืนนั้นถือว่าพวกผมไปกันเยอะมากๆ คือ 12 คน เป็นมอเตร์ไซค์ 6 คัน นั่งคันละ 2 คน ขี่ไปเรื่อยๆ ก็คุยกันไป บิ้วอารมณ์กันไป จนพอไปถึง พวกผมตกลงกันว่าจะแบ่งกันเข้าไปครั้งละ 3 คน แบ่ง 4 กลุ่ม เพราะถ้าเข้าไปเยอะ มันจะไม่ได้อารมณ์.. ทางเข้าไปจะเป็นคล้ายป่าหญ้า ดังนั้น พวกผมต้องจอดมอเตอร์ไซค์กันไว้ด้านนอก และเดินเท้ากันเข้าไป ก็ยังเดินคุยเล่นตามปกติ จนมีเพื่อนคนนึงในกลุ่มผม จากที่หัวเราะอยู่สีหน้าก็เปลี่ยน พวกผมเลยมองตามไปทางเดียวกันว่าเห็นนอะไร? ก็ไม่มีอะไร แต่เพื่อนผมมันก็ยังใจแข็งบอกว่า ‘ไม่มีอะไรหรอก แค่เพิ่งเห็นว่าทางเข้ามีป้อมยาม..’ ผมก็งงว่า แค่ป้อมยาม ถึงกับทำให้เปลี่ยนอาการได้ขนาดนี้เลยหรอ? ผม กับเพื่อนอีกคน รีบเดินไปสำรวจที่ป้อมยาม เพื่อนผมที่ไปถึงก่อนร้อง ‘เห้ย!!!!’ ผมก็ตกใจจึงรีบวิ่งไปดู มันบอกว่า ‘มีกระจกอยู่ในป้อมยาม!!’ คือตกใจเงาตัวเองนั่นเอง.. ผมยังคอยดูปฏิกริยาของเพื่อนคนแรก แต่ว่ามันก็ยังดูแปลกๆ อยู่ คิดว่าไม่น่าจะพร้อม เลยบอกให้เพื่อนกลุ่มอื่น เข้าไปก่อน

กลุ่มแรกก็เข้าไปก่อน ส่วนอีก 3 กลุ่มจะรอด้านนอก จนกว่ากลุ่มแรกจะเสร็จกลุ่ม 2 ถึงจะเข้าไป ส่วนผมเป็นกลุ่มที่ 3.. กลุ่มแรกใช้เวลาสำรวจประมาณ 15 นาที พอออกมา ก็บอกว่าไม่มีอะไร และเตือนว่าให้ระวังด้วยข้างในมืดมาก.. จากนั้นก็เป็นกลุ่มที่ 2.. กลุ่มที่ 2 ใช้เวลานานกว่า แต่ก็ออกมาบอกว่าไม่มีอะไร.. ที่นี้ถึงตากลุ่มผมสักที ผมก็เข้าไปกับเพื่อนอีก 2 คน คนนึงมีไฟฉาย อีกคนมีไฟแช็ค ที่พอนำพาแสงให้เห็นทางได้ พวกผมเดินไปเรื่อยๆ สองข้างทางเป็นหญ้าสูง และต้นไม้ใหญ่ ที่สามารถกลบแสงของพระจันทร์ ทำให้ทางเดินมืดมากๆ เดินไปได้สักนิด ก็จะพบกับอาคารแรก ตัวอาคารทรุดโทรมมาก ชั้น 1 เต็มไปด้วยปุยฝ้ายปริมาณมาก แต่อาคารนี้ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ เพราะตัวอาคารแต่ละชั้นแทบจะไม่เหลือกำแพง สามารถมองเห็นได้หมด อาคารแรกนี้มี 4 ชั้น พวกผมได้ขึ้นไปทุกชั้นแต่ก็ปกติดีไม่มีอะไร

ทีนี้พวกผมก็ลงมา เพื่อจะไปสำรวจต่ออาคาร 2 ที่อยู่ติดกัน ด้านหน้าก็จะพบกับศาลตายาย และศาลเจ้าที่ ผมกลับไม่กลัวสถานที่นี้สักเท่าไหร่ แต่กลับรู้สึกหดหู่ใจแปลกๆ ในกะเป๋าผม ก่อนที่จะเดินทางมา ผมแวะซื้อน้ำอัดลมกะว่าจะมากิน แต่ผมก็เปลี่ยนใจ เปิดแล้ววางถวายท่าน ยกมือไหว้แล้วรีบเดินตามเพื่อนต่อ.. แต่ทางเข้าอาคารที่ 2 จะมีกิ่งไม้ปิดทางเข้า จะเข้าได้ก็คือต้องมุดลอดเข้าไป ผมเข้าเป็นคนแรกครับ ไปจนเห็นบันไดอยู่ไกลๆ เลยเรียกเพื่อนๆ ให้ตามเข้ากันเข้ามา ความรู้สึกในนี้ต่างกับอาคารแรกมาก รู้สึกหนาวเย็นยะเยือกๆ ผมเดินสำรวจชั้น 1 ก็เห็นมีคลัายๆ กับห้องเล็กๆ แต่เหมือนมันยังไม่ฉาบปิด แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร และพื้นที่ส่วนมากก็ว่างเปล่า.. ผมเดินขึ้นบันไดไปก่อนเพื่อน ทางขึ้นค่อนข้างอันตรายมาก เพราะบันไดทุกชั้นไม่มีราวที่จับเลย ผมก็คอยบอกเพื่อน ว่าให้เดินชิดกำแพง แล้วค่อยๆ เดินขึ้น.. ที่ชั้น 2 ก็ยังคงเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเหมือนกัน เลยขึ้นไปสำรวจชั้น 3 ที่ชั้นนี้ จะเริ่มมีของใช้ มีโต๊ะ มีตู้ ดูเป็นบ้านคนมาก่อน กลางชั้นสามจะมีโชฟาตั้งอยู่ตัวนึง.. ทีนี้ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันสำรวจ อยู่ๆ หางตาผมกับเหลือบไปเห็นว่ามีคนนั่งที่โซฟาอยู่ เข้าใจว่าเป็นเพื่อน แต่พอลองหันไปมองด้านหลัง พวกเพื่อนผมก็เดินสำรวจกันอยู่.. พอหันกลับมาที่โซฟา ก็ว่างเปล่า.. ผมก็เริ่มแปลกๆ ละสิ

แล้วอยู่ๆ ผมก็ต้องวิ่งสุดแรงเกิด ไปกระชากคอเสื้อเพื่อนผมอย่าแรง แล้วดึงกลับมา (จำได้ไหมครับชั้น 1 ที่ผมบอกว่ามีห้องเล็กๆ ที่ไม่ได้ฉาบอะไรปิด จริงๆ แล้วมันคือช่องลิฟท์ครับ ที่มีทุกชั้น) เพื่อนมันโมโหถามว่าไปกระชากมันทำไม? ผมเลยเอาไฟฉายส่องที่ปล่องลิฟท์ให้ดู เพื่อนผมนี่หน้าถอดสี เหงื่อตกเลย.. หลังจากนั้น พวกผมเดินอย่างระวังกันมากๆ ขึ้นไปสำรวจชั้น 4 ต่อ เป็นดาดฟ้าครับ มีแทงค์น้ำอยู่ 3 แทงค์ ก็พักสูดอากาศ ข้างบนลมเย็นสบาย และผมเลยบอกเพื่อนว่า ‘ลงเถอะ จะได้ให้กลุ่มที่ 4 เข้ามา..’ แต่ผมก็สังเกตุเห็นสีหน้าของเพื่อนเปลี่ยนไป หน้าซีด.. จังหวะนั้นผมไม่ถามอะไร และบอกให้รีบลงกันก่อนดีกว่า โดยที่ผมเป็นคนลงคนสุดท้าย และคอยส่องไฟทางเดินให้เพื่อน เพื่อน 2 คนดูท่าทางรีบร้อนที่จะลงเอามากๆ พอถึงชั้น 3 คราวนี้ชัดเลย ผมส่องไฟฉายไปที่โซฟา คือมีผู้หญิงนั่งอยู่ที่โซฟา และอยู่ในท่าที่กำลังลุกเดินเข้ามาทางผม.. ผมรีบดันหลังเพื่อน แย่งกันลงเลยครับ.. พวกผมออกมาได้อย่างปลอดภัยครับ และก็เป็นกลุ่มที่ 4 เข้าไปสำรวจต่อ.. กลุ่มที่ 4 ที่เดินเข้าต่อจากพวกผม เดินเข้าไป 3 คน แต่ผมกลับเห็นมี 4 คน จะเรียกก็ไม่ทันแลัว.. ทีนี้ผมก็เรียกเพื่อนกลุ่มผม 2 คนมาถาม โดยที่ไม่ให้คนอื่นฟัง กลัวว่าทุกคนจะกลัว..

ผมถามเพื่อนคนแรกว่า ตอนที่จะตกปล่องลิฟท์ไม่ได้ดูทางหรอ? เพื่อนบอกว่า มันเห็นคนเดินเข้าไปทางนั้น คิดว่าเป็นผมเลยจะเดินตามไป.. พวกผมทุกคนหน้าซีดกันหมด  และผมก็ถามว่าชั้น 3 ตรงโซฟาเห็นไหม? เพื่อนทั้ง 2 คนบอกว่าไม่ แต่จะมาเห็นก็ตรงแทงค์น้ำชั้นดาดฟ้า ทั้งคู่พูดด้วยเสียงสั่นว่า เห็นมีเงาดำใหญ่ มากกว่า 5 โผล่มาตรงแทงค์น้ำ ยืนมองอยู่อย่างนั้น พร้อมกับเป็นเสียงหัวเราะ ดังก้องในหูตลอดเวลา.. และเพื่อนคนแรกก็บอกอีกว่า ที่ทางเข้าตรงป้อมยามก็เหมือนกัน ตอนนั้นไม่กล้าบอกคิดว่าตาคงฝาด แต่มันบอกว่า เห็นกระจกสะท้อน มีผู้หญิงคนนึงยืนรวมอยู่ในกลุ่มเรา ทั้งที่พวกเรามากันแต่ผู้ชาย..

สักพักกลุ่มที่ 4 ออกมา แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลย.. ทีนี้ผมเห็นท่าเพื่อนกลุ่มผมไม่ดีแล้ว และมันก็ดึกมากแล้วด้วย เลยบอกว่าจะกลับกันเลย.. ผมเลยอาสาเป็นคนขี่ให้แทนเพราะเพื่อนยังคงตัวสั่น พวกผมเดินทางออกมา ผมรั้งท้ายเป็นคันสุดท้าย กำลังปลอบเพื่อนที่ซ้อนให้มีสติ แต่พอหันหน้าไปอีกที รถเพื่อนคันหน้าเกิดล้มสไลด์ ไปชนคันด้านหน้า ผมเบรครถ และรีบลงไปดูเพื่อน และพยุงกันขึ้นมา.. เพื่อนบอกว่าอยู่ดีๆ รถก็สะบัดได้ไงไม่รู้ พวกผมต่างคนต่างมองหน้ากันด้วยความงง แต่ก็ตั้งสติขี่กลับให้ถึงบ้าน และทุกคนก็ถึงบ้านโดยปลอดภัย

จนวันรุ่งขึ้น เพื่อน 2 คนมาหาผมที่บ้านแต่เช้า สภาพอิดโรยมาก บอกไม่ได้นอนเลย ได้ยินแต่เสียงหัวเราะมันก้องทั้งคืน.. ผมรีบอาบน้ำ และบอกเพื่อนไปวัด ทำบุญถวายสังฆทานกัน.. ช่วงที่ถวายสังฆทาน หลวงพ่อก็พรมน้ำมนต์ และให้พร แต่พอเสร็จกำลังจะกลับ หลวงพ่อท่านก็ทักเพื่อนผมทั้งสองคนว่า ‘โยมทั้ง 2 น่ะ มีใครตามมาด้วย.. ให้ทำบังสกุลด้วยนะ’ พวกผมก็ตกใจมากๆ เพราะเหมือนหลวงพ่อท่านจะเห็น เลยตกลงทันที.. หลังจากทำพิธีเสร็จ หลวงพ่อก็แนะนำให้เพื่อนผม นำของเซ่น อาหาร และเหล้าขาว ไปขอขมายังที่ที่ได้ไปล่วงเกินไว้ด้วย.. วันถัดไปพวกผมก็กลับไปที่สถานที่นั้น และนำขอเซ่นไปขอขมากับศาลตายาย และศาลเจ้าที่ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรแปลกๆ อีกเลยครับ.. และพอผ่านไปหลายวัน ได้มาเจอกับกลุ่มเพื่อนทั้ง 12 คน สุดท้ายก็ได้มารู้ว่า คืนนั้นกลุ่มที่ไปสำรวจกลุ่มอื่นๆ ไม่มีใครได้เข้าไปที่อาคาร 2 กันเลย มีแต่เพียงกลุ่มผม 3 คนที่เข้าไป และก็เจอดีกันหมด..

Story by คุณเอก (นามสมมติ)

ความคิดเห็น