เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ส่งมาจากคุณแจง ถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว แต่มันเป็นมีผลกระทบ กับการใช้ชีวิตหลังจากนั้นของคุณแจงมาตลอด โดยคุณแจงเล่าว่า.. ย้อนไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เราเป็นคุณแม่ลูก 1 แล้วนะคะ ช่วงนั้นเรามีโอกาสได้ไปเที่ยวเกาะสมุยกับเพื่อน ได้พักอยู่ริมหาดเลย ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนแล้ว แต่เราก็ยังออกไปเล่นทะเลกับเพื่อนๆ เดินเลาะไปตามโขดหินริมหาดเรื่อยๆ และก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน คือเราลื่นล้ม พลัดตกไปในทะเลซึ่งตรงนั้นน้ำลึกด้วย และเราว่ายน้ำไม่เป็นไง ก็คือจมน้ำไปเลย สิ่งที่จำได้สุดท้ายคือ มืดสนิทไม่เห็นอะไรเลย แต่สุดท้ายที่รู้ก็คือ มีเพื่อนคนนึงช่วยเราขึ้นมาได้แบบทุลักทุเลมากๆ
เราหมดสติไปเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในห้องนอนแล้ว โดยเพื่อนเล่าว่า หน่วยกู้ภัยของเกาะมาช่วยปฐมพยาบาลไว้ได้ทัน ถ้าช้ากว่านี้อาจจะน้ำท่วมปอดหายใจไม่ออกได้.. แต่เรื่องมันเกิดหลังจากนี้ค่ะ.. คืนนั้นหลังจากเกิดเรื่อง เราก็นอนหลับอยู่กับเพื่อน ในขณะที่กึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น เราฝันว่ามีชายรูปร่างใหญ่ ผิวดำมากๆ ไม่ใส่เสื้อ แต่นุ่งเหมือนโจงกระเบนสีแดง มีผ้าคาดหัวสีแดง เดินมากัน 2 คน และในมือของทั้ง 2 คนนั้น มีอาวุธที่เราขอเรียกว่าไม้ง่าม ขนาดค่อนข้างยาวมากๆ
ชาย 1 ในนั้นได้เข้ามาจับข้อมือเรา และฉุดกระชากจนเรารู้สึกเจ็บมาก ในฝันเขาไม่ได้ขยับปากพูดอะไร แต่กลับมีเสียงพูดออกมา เขาพูดกับเราด้วยเสียงที่ดุดัน และสายตาที่จ้องเราเขม็ง บอกว่า ‘ไปได้แล้ว หมดเวลาแล้ว..’ ในฝันเรากลัวมาก ร้องไห้ไม่ยอมไป และยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่อย่างนั้น บอกแค่ว่า ‘หนูไม่ไป!’ เขาได้แต่พูดว่า ‘หมดเวลาแล้ว..’ ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
เราก็ได้แต่ร้องไห้อ้อนวอนว่า ‘หนูยังไปไม่ได้ ถ้าหนูไป แม่กับลูกของหนูจะอยู่ยังไง? ขอเวลาให้หนูหน่อย ขอให้หนูได้สร้างทุกอย่างไว้ให้แม่ก่อน ทุกวันนี้แม่กับลูกยังไม่มีบ้านอยู่เลย ลูกก้อยังเล็ก..’ ชายทั้ง 2 ฟังแล้ว แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือที่จับข้อมือเราไว้ เราต่อรองกับเขา ว่าขอเวลาอีก 20 ปี แล้วค่อยมารับเรา ขอให้เราสร้างบ้านให้แม่อยู่ และให้ลูกเราโตก่อน..
ชายทั้ง 2 คนเงยหน้าขึ้นมองฟ้า และพยักหน้าอยู่ 2-3 ครั้ง แล้วจึงปล่อยมือเรา พอเค้าปล่อยมือจากเรา เราก็หลุดจากอาการคล้ายผีอำ พอเราหลุดได้ก็ลุกขึ้นมานั่งร้องไห้โฮ ตัวสั่นเลย ต้องเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ และสิ่งที่ทำให้เราต้องขนลุก และกลัวมากๆ เลย คือที่ข้อมือเรา เป็นรอยแดงช้ำจากการถูกบีบอย่างแรง มันชัดมากๆ ไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ ตอนนั้นเรารู้เลยว่ามันไม่ใช่แค่ฝันแน่ๆ
หลังจากนั้นทุกวันนี้ถ้าเรามีเวลาว่าง เราจะไปทำบุญ หรือปฏิบัติธรรมอยู่เสมอๆ จากวันนั้นถึงตอนนี้ เวลาได้ผ่านมา 6 ปีแล้ว เวลาที่เราเหลืออยู่ จะมีอีกเพียง 14 ปี เท่านั้นจริงๆ หรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้ได้.. แต่หากคิดว่าเราจะมีเวลาเหลือเพียง 14 ปี เราจะรู้สึกว่า เวลาของทุกวันที่จะผ่านไปมันมีค่ามากๆ แต่ไม่ว่าจะเหลืออีกกี่ปี ยังไงคนเราก็ต้องถึงวันตายเข้าสักวัน เวลาที่เหลืออยู่ ก็อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันทำอะไรเพื่อคนรอบข้างเท่านั้นเอง..
Story by คุณแจง