เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ส่งเข้ามาจากคุณลลิตาครับ คุณลลิตาเล่าว่า.. ประมาณ 4 ปีที่แล้ว สมัยนั้นหนูทำงานเป็นเซลล์ขายของ ออกบูทโชว์สินค้าตามห้าง ขึ้นเหนือ ล่องใต้ ไปมันทุกจักหวัด แต่มีอยู่จังหวัดหนึ่งที่หนูจำไม่ลืมเลย สระบุรีค่ะ.. สระบุรีเป็นจังหวัดเล็กๆ อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ขับรถไม่นานก็ถึง.. โดยปกติเวลาไปออกบูธ ทางบริษัทจะให้ไปเป็นเป็นทีมค่ะ 8 คนบ้าง 6 คนบ้าง 4 คนบ้าง แล้วแต่ขนาดบูธ ครั้งนี้เป็นห้างเล็กๆ บริษัทให้มากัน 4 คน เป็นเวลา 1 อาทิตย์ค่ะ.. วันเดินทางพวกหนูก็นัดกัน 3 คน ว่าจะไปเจอกันที่โรงแรมที่บริษัทจองไว้ให้เลย และมีน้องอีกคนป่วยเป็นตาอักเสบ ต้องไปหาหมอก่อน แล้วจะตามมาตอนเย็น.. ด้วยความที่หนูอยู่แถวรังสิต ก็จะเดินทางถึงโรงแรมก่อนพี่ๆ อีก 2 คน

พอหนูมาถึงโรงแรม ตอนนั้นเวลาประมาณ 9 โมงเช้า บรรยากาศที่โรงแรม ก็เหมือนโรงแรมทั่วไปตามต่างจังหวัด คนไม่เยอะ พอดีเจอตำรวจ 2 นายเช็คเอ้าท์ออก หนูก็ลากกระเป๋าเดินเข้าไปหน้าเคาน์เตอร์ ก็เจอป้าคน 1 รอรับลูกค้าอยู่ ก็แจ้งไปว่าจองไว้ 2 ห้อง จากบริษัท…ค่ะ ระหว่างรอหนูก็ไปสะดุดกับรูปใหญ่ๆ ด้านหลังเคาน์เตอร์ เป็นรูปชายหญิงสูงวัย พร้อมมีกระถางธูปใหญ่มากตั้งอยู่ ในใจก็คิดว่าคงเป็นเจ้าของโรงแรมรุ่นแรกๆ เพราะโรงแรมดูดี ดูหรูนะ ถ้าเป็นสมัยก่อน แต่สมัยนี้ต้องเรียกว่าเก่าแก่เลยทีเดียว.. พอได้กุญแจห้อง เป็นห้องชั้น 4 ติดกัน 2 ห้องค่ะ.. หนูก็ไปนั่งรอพี่ๆ อยู่ที่เก้าอี้ในล็อบบี้โรงแรม รอบๆ เป็นกระจกมองเห็นถนนด้านนอก นั่งรอไม่นาน พวกพี่ๆ อีก 2 คนก็มาถึง

จากนั้นพวกเรา 3 คนก็ไม่รอช้าค่ะ ตรงไปที่ลิฟท์กันเลย ลิฟท์จะอยู่หลังเคาน์เตอร์ แต่ที่แปลกคือ หน้าลิฟท์จะมีกระดาษเก่าๆ เขียนบอกเวลา เปิด-ปิด ลิฟท์ไว้ชัดเจน ถ้าจำไม่ผิดลิฟท์จะปิดเวลา 2 ทุ่มเท่านั้นค่ะ ด้วยความที่ไปมาหลายจังหวัด ก็เพิ่งเจอที่นี่ล่ะค่ะ ที่มีเวลา เปิด-ปิด ลิฟท์ ในใจก็ไม่ปลื้มหรอก คือเราใส่ส้นสูง ห้างปิดกลับมาต้องเดินขึ้นบันไดเนี่ยนะ? พอเข้าลิฟท์ไปก็แอบบ่นๆ กันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้โวยอะไร.. ห้องพวกเราอยู่ชั้น 4 ค่ะ พอประตูลิฟท์เปิดมา ก็รู้สึกเครียดเลย เจอทาง 4 แพร่ง ข้างลิฟท์เป็นบันได ที่มองลงไปจะเห็นทุกชั้นแบบวนๆ เป็นตัว U ด้านหน้า และอีกข้างเป็นทางเดิน.. ใจหนูนี่ไม่ได้อยากคิดมากหรอกค่ะ แต่สมองมันมโนไปก่อน.. ตามทางเดินนี้ไฟไม่สว่างเลย ออกสลัวๆ.. ห้องหนูจะอยู่หัวมุมพอดี อีกห้องก็จะอยู่ถัดไป พี่อีก 2 คนพูดพร้อมกันเลยค่ะ ‘ห้องนี้น้องอยู่แล้วกันนะ พวกพี่ขออยู่อีกห้องนึง’ ด้วยความที่น้องอีกคนยังไม่มา หนูก็รีบพูดเลย ‘พี่ๆ งั้นวันนี้หนูขออยู่ด้วยก่อนแล้วกัน’ พี่ๆ ก็โอเคๆ

พวกเราก็ลากกระเป๋าไปห้องถัดไป หนูเป็นคนถือกุจแจ ก็เสียบกุญแจหมุนเปิดล็อคตามปกติ แล้วผลักประตูเข้าไป ผลักอยู่ 3 รอบไม่ออก หนูหันมามองหน้าพี่ๆ แล้วลองให้พี่ๆ เปิดดู ตอนนั้นความรู้สึกเรา มันไม่เหมือนประตูติด แต่มันรู้สึกเหมือนมีแรงคนดันอยู่จากข้างในห้อง แต่ก็ไม่ได้บอกพี่ๆ เค้า.. พอพี่ๆ ลองเปิด ก็เป็นเหมือนกันค่ะ ไม่ออก พี่ๆ ก็เริ่มหงุดหงิด เปิดไปด้วยด่าไปด้วย ‘ติดเหี้ยไรวะ เปิดไม่ได้!’ เท่านั้นล่ะ ประตูเปิดได้แบบง่ายๆ เฉยเลย.. พอเข้าไปในห้องก็เสียบการ์ดที่ข้างประตู ไฟก็ติด แต่ติดเพียงบางดวงเท่านั้น คือมืดค่ะ มองอะไรไม่ชัด มันดูยังไงๆ ไม่รู้ จนพี่คนนึงต้องไปเปิดม่าน พร้อมกันกับที่หนูเดินไปเปิดไฟห้องน้ำ เพื่อให้แสงสว่างมันเพียงพอ แล้วอยู่ๆ พี่ที่ไปเปิดม่านก็ร้อง ‘เหี้ย!!’ ขึ้นมาดังมาก เรากับพี่อีกคนวิ่งไปดู ภาพที่เห็นคือเมรุเผาศพค่ะ! คือห้องนี้เปิดม่านมาเจอเมรุเผาศพ มีอีกาบนหลังคาเต็มไปหมด บรรยากาศไม่ต้องบรรยายเลย นาทีนั้นรู้อย่างเดียว ต้องย้ายออก นอนไม่ได้แน่ๆ ก็นั่งคุยกันแล้วโทรกลับไปบริษัท แจ้งขอย้ายทันที ผู้จัดการก็ใจดีอนุมัติค่ะ เท่านั้นล่ะ พวกเรารีบลงมา ออกไปหาโรงแรมใหม่กันเลย ไปกันแต่ตัวนะคะ กระเป๋ากับของยังคงไว้ที่ห้องก่อน

พอหาโรงแรมใหม่ได้ ก็ต้องจ้างรถสามล้อมาขนกระเป๋า และของสต๊อคสำหรับออกบูธ ที่ทีมงานเอามาทิ้งไว้ให้ก่อนหน้านี้ประมาณ 10 ลังได้ และประเด็นคือ ลังพวกนั้นอยู่ในห้องพักค่ะ ห้องที่หนูต้องนอน แต่ยังไม่ได้เข้าไป.. พอรถสามล้อมาถึงหน้าโรงแรม ลุงคนขับสามล้อบอกก่อนเลย ‘ลุงรอข้างล่างนะ..’ เท่านั้นล่ะค่ะ รู้เลยว่าลุงคงจะรู้เรื่องเยอะ แต่นาทีนั้นก็ต้องรีบเข้าไปเอาของกันค่ะ.. พวกเรารีบขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 4 ทีนี้เราเปิดห้องตรงมุมทาง 4 แพร่งก่อน เพื่อจะเอาของสต๊อคในห้องนี้ แต่ก็เหมือนเดิมค่ะ เปิดไม่ออก ต้องเปิด 3-4 รอบถึงจะเข้าได้ พอเข้าไปไฟก็เป็นเหมือนกัน คือติดบ้างไม่ติดบ้าง พวกเราก็แบ่งหน้าที่กัน คนนึงไปเปิดม่าน ส่วนหนูไปเปิดไฟห้องน้ำ พอเปิดไฟห้องน้ำ หนูก็หันหน้าไปบอกพี่อีกคน ‘พี่ๆ มาดูนี่สิ ห้องนี้มีอ่างอาบน้ำด้วย ห้องเมื่อกี้ไม่เห็นมีเลยนะ’ พี่ที่เดินเข้ามาดูตะโกนดังมาก พร้อมกับดึงหนูออกมา และปิดประตูทันที พี่บอกให้รีบขนของกันให้ไวเลย หนูตกใจมาก รู้เลยว่าต้องมีอะไรแน่ๆ

จังหวะนั้นพวกเราเก่งกันมาก ขนของเข้าลิฟท์รอบเดียว ทั้งที่ของเยอะมาก ความรู้สึกตอนขนนี่ไม่น่าเกิน 15 นาที คือเหมือนไฟไหม้บ้าน แล้วมีแรงฮึดประมาณนั้นเลย ทีนี้พอกำลังจะกดลิฟท์ลง พี่คนนึงก็บอกว่า ‘เดี๋ยวๆ เปิดก่อน มีคนจะเข้า..’ ทีนี้พี่อีกคนรีบกดปิดอย่างไวเลยค่ะ ตอนนั้นรู้อย่างเดียว ทุกคนเงียบกริบกันหมด ไม่พูดอะไรจนถึงชั้นล่าง.. พวกเรานั่งพักคุยกันที่ล็อบบี้ข้างล่างค่ะ พี่ที่เจอเล่าว่า ‘สิ่งที่พี่เจอในห้องน้ำ คือขาผู้ชายมีขนหน้าแข้ง ซีดขาวพาดอยู่ที่อ่างอาบน้ำ และมีม่านปิดครึ่งนึงอยู่.. แล้วที่เมื่อกี้รีบกดปิดลิฟท์ เพราะไม่เห็นว่ามีใครอยู่นอกลิฟท์เลย..’ พี่อีกคนกลับยืนยันว่าเห็นผู้ชายมีอายุ เดินมาช้าๆ จะขอลงไปด้วย! ได้ฟังกันอย่างนั้น พวกเรานี่เสียวสันหลังวาบเลยค่ะ.. ตอนที่ส่งกุญแจให้ป้าที่เคาน์เตอร์และบอกแกว่า ‘พวกหนูขอย้ายออกนะป้า’ ป้าแกไม่ถงไม่ถามอะไรสักคำ กลับยิ้มอ่อนๆ แบบว่าเหมือนเข้าใจโลก.. โรงแรมนี้บอกเลยขนาดหนูไปกันตอนกลางวัน แต่บรรยากาศข้างในนี้สุดยอดมาก ไม่อยากคิดเลยว่ากลางคืนจะขนาดไหน..

Story by คุณลลิตา

ความคิดเห็น