เรื่องนี้ส่งมาจากคุณฟง (นามสมมติ) ครับ คุณฟงเล่าว่า.. ช่วงซัมเมอร์สมัยผมเรียนปี 2 วิชาช่างสำรวจ (Survey) ทางมหาวิทยาลัยได้บังคับให้ทุกคนต้องฝึกงานนอกสถานที่ถึงจะจบหลักสูตร ทางคณะจึงจัดให้พวกเราไปฝึกงานที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งทางหลวงพ่อของวัดป่าแห่งนี้ มีความต้องการจะสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อใช้ในวัด และหมู่บ้านใกล้เคียง.. พอถึงวันเดินทาง ก่อนออกเดินทางอาจารย์ได้แบ่งพวกเราเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 7-8 คน มีช่างเทคนิคประจำกลุ่ม 1 คน แล้วพอไปถึงจะมีลูกหาบที่เป็นคนพื้นที่ หรือชาวพม่า ชาวกระเหรี่ยง คอยช่วยแบกอุปกรณ์อีกกลุ่มละ 1 คน อาจารย์ได้กำหนดเป้าหมาย ขอบเขต แบ่งส่วนการทำงานกันอย่างชัดเจน ทุกคนดูตื่นเต้นกันมากกับการได้ออกภาคสนามจริงๆ ครั้งแรก
เมื่อเดินทางมาถึงวัดป่า อาจารย์ได้จัดแจงแบ่งที่นอนให้พวกเรา คือผู้หญิงกับอาจารย์จะนอนกันบนศาลาวัด ซึ่งมีห้องน้ำในตัว มีพัดลม สะดวกสบาย ส่วนพวกผู้ชายจะกางเต๊นท์นอนกันตรงพื้นที่โล่งแจ้งหลังวัด ใกล้ๆ กับที่เก็บกระดูกคนตาย ..เจริญพรจริงๆ ล่ะครับ หลังจากจัดแจงเรื่องที่พักเสร็จสรรพ หลวงพ่อก็ได้เรียกพวกเราไปให้ศีลให้พร พร้อมทั้งกล่าวว่า ‘ก่อนนอน ขอให้สวดมนต์ แผ่เมตตาด้วย เผื่อสัตว์ร้ายต่างๆ จะได้ไม่มาทำอันตราย..’
เริ่มงานวันแรก ทุกคนสดชื่นแจ่มใสคึกคักกันมาก ออกเดินทางขึ้นเขาไปสำรวจกันตั้งแต่เช้า เดินกันไปเล่นกันไปคุยกันสนุกสนาน ทำงานอย่างตั้งใจ.. แต่แล้วตอนขากลับ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นครับ เพื่อนผมคนหนึ่ง เดินอยู่ดีๆ ก็พลัดตกเขาลงไปซะอย่างนั้น ดีที่ตัวไปติดกับต้นไม้ ไม่หล่นไปถึงข้างล่าง ทุกคนต้องช่วยกันดึงขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เนื้อตัวถลอกปอกเปิก เลือดอาบเลยทีเดียว.. พอมาถึงที่พักทำแผลเสร็จ เพื่อนๆ ถามว่า ‘ตกลงไปได้ยังไง? เดินตามกันมาอยู่ดีๆ..’ เพื่อนคนนั้นบอกว่า ‘ไม่รู้เหมือนกัน ก็เดินๆ อยู่ แล้วเหมือนมีใครผลักจนกระเด็นกลิ้งลงไปเฉย..’ ทุกคนก็งงกันไป แล้วในวันนั้นเอง เพื่อนๆ จากกลุ่มอื่นที่กลับกันมา ก็บอกว่าเจอเหตุการณ์แปลกๆ เหมือนกันทั้งนั้น บางคนโดนผึ้งต่อย บางกลุ่มหลงป่าจนไม่ได้งานกันเลยก็มี อาจารย์ได้สรุปเอาว่า ‘อาจเป็นเพราะแปลกที่ ไม่คุ้นเคย เลยเกิดอุบัติเหตุ ต่อไปให้ใช้ความระมัดระวังให้มากๆ ใครจะไปไหนทำอะไร ต้องมีเพื่อนไปด้วยเสมอ..’ เหตุการณ์ก็เหมือนจะสงบขึ้น..
วันต่อมา พวกเราก็ออกทำงานกันตามปกติ เก็บข้อมูลวัดระดับตามจุดต่างๆ พอตกกลางคืนก็กลับมาเขียนแผนที่ ผมลืมบอกไปว่า ที่วัดป่านี้พอถึงเวลา 2 ทุ่ม ไฟจะถูกปิดทั้งหมด เพราะไฟฟ้าเข้าไม่ถึง มีเพียงเครื่องปั่นไฟซึ่งไว้ใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น.. พวกเราต้องจุดเทียนพรรษากันเพื่อเขียนแผนที่ ดูลำบากลำบนพิกล.. ในคืนนั้นเอง หลังจากที่เขียนแผนที่เสร็จ ก็ราวๆ เที่ยงคืนได้ ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปนอน แล้วทีนี้ มันมีพวกเพื่อนๆ ที่เป็นขาเฮ้ว ชอบลองดี ได้นัดแนะเพื่อนๆ อีก 4-5 คนไปเล่นผีถ้วยแก้วกันหลังเต๊นท์สุดท้าย ที่อยู่ใกล้กับที่เก็บกระดูก ไอ้ผมก็อยากรู้อยากเห็น เลยตามไปดูด้วย เพื่อนหัวโจกมันก็เริ่มเล่าประวัติเลย มันบอกว่า ‘รู้หรือเปล่า? ห่างจากวัดป่านี้ไปไม่กี่โล มันเป็นที่ฝังศพของ เชอรี่ แอน’ (ช่วงนั้นเป็นข่าวดังมาก เรื่องคดีฆาตกรรม เชอรี่ แอน ดันแคน ใครอยากทราบประวัติลองไปค้นดูเอานะครับ) แล้วทีนี้เพื่อนหัวโจกคนนั้นก็เริ่มเลย ทำพิธีเชิญวิญญาณ เชอรี่ แอน มาลงถ้วย ส่วนผมนั่งดูอยู่ห่างๆ มันถามคำถามต่างๆ นานาไปเรื่อย ถ้วยแก้วก็วิ่งไปเรื่อย ผมคิดในใจว่า พวกมันนั่นแหละที่ดันถ้วย เพราะผมเองไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ผมนั่งดูไปจนเริ่มง่วง เลยลุกเดินกลับเต๊นท์ไปนอนก่อน พอกำลังเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวก โวยวายกันลั่น เลยรีบออกจากเต้นท์มาดู ที่เกิดเหตุคือบริเวณที่เล่นผีถ้วยแก้วกันนั่นล่ะ ผมเห็นเพื่อนคนหนึ่งนอนตัวบิดอยู่กับพื้น ดิ้นไปดิ้นมา พูดจาไม่รู้เรื่อง พวกที่เล่นด้วยกันก็พยายามช่วยจับแขนขา พอดีว่าอาจารย์ตามมาสมทบพอดี แกบอกให้เอาผ้าขนหนูยัดปาก สงสัยจะเป็นลมบ้าหมู ทุกคนก็ช่วยกัน และรีบหามเพื่อนคนนั้นขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาลทันที พอสอบถามเพื่อนๆ ที่อยู่ด้วยกันก็บอกว่า อยู่ดีๆ มันก็ลงไปดิ้นๆ เอง ไม่รู้เป็นอะไร.. พอเรื่องที่เล่นผีถ้วยแก้วรู้ไปถึงหูอาจารย์ ก็โดนตำหนิกันยกใหญ่เลยครับ
หลังจากคืนนั้น ทางคณะเราก็เหมือนโดนคำสาป งานทุกอย่างหยุดชงักหมด ฝนหลงฤดูกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ออกไปสำรวจไม่ได้ ต้องติดแหงกอยู่ที่วัดป่า.. พอฟ้าเปิดออกไปทำงาน เครื่องมือก็ดันพังพร้อมๆ กันอีก กล้องอินฟาเรด 3 ตัวใช้งานไม่ได้ ต้องใช้กล้องธรรมดามาส่อง ซึ่งมันเสียเวลามาก และความคลาดเคลื่อนก็สูง อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นรายวัน บางคนเริ่มป่วยแบบไม่มีสาเหตุ งานการเสียหมด เหลือเวลาอีกไม่นานจะครบกำหนดแล้ว แต่งานยังไม่คืบหน้าเลย.. ทุกคนต้องทำงานกันหนักขึ้น ออกสนามเช้าขึ้น กลับช้ากว่าเดิม อาจารย์ และช่างเทคนิค ยังต้องลงมาช่วยทำงานด้วยเลยครับ จากวันที่มาจนถึงตอนนี้ แต่ละกลุ่มเหลือคนทำงานน้อยลงๆ เพราะส่วนใหญ่ไปนอนโรงพยาบาลในเมืองกันหมด ด้วยอาการป่วยแปลกๆ อย่างที่ผมเล่าไป
แต่แล้ว เหมือนโชคจะเข้าข้างพวกเราบ้าง หลวงพ่อมาบอกพวกเราว่า ทางจังหวัดจะลงมาทำเรื่องนี้เอง เพราะได้งบมาแล้ว ให้พวกเราพอแค่นี้ ขอแผนที่ และข้อมูลทั้งหมดที่สำรวจมา ส่งให้ทางจังหวัดไปทำต่อ ส่วนเวลาที่เหลือก็ขอให้พักผ่อนกันไป พวกเราทั้งหมดแทบจะร้องไชโยด้วยความดีใจ.. เย็นวันนั้น อาจารย์ก็สั่งแม่ครัวให้ทำอาหารเลี้ยงกันทั้งแคมป์ พวกเรากินกันอย่างสนุกสนาน ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไปเสียสนิท จนเลยเวลามาถึง 4 ทุ่ม ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอน.. แต่แล้วฝนเจ้ากรรมมาจากไหนไม่รู้ สาดกระหน่ำใส่เต๊นท์พวกเราจนปลิว น้ำจากเขาก็เทลงมาจนดินเปียกชุ่ม นอนกันไม่ได้ หลวงพ่อเลยให้ไปนอนรวมกันบนศาลา แต่ด้วยศาลาวัดป่ามันก็ไม่ได้ใหญ่มาก บางส่วนจึงต้องกระจายไปนอนตามกุฎิพระบ้าง หรือโรงทานบ้าง มีผมกับรุ่นพี่ และเพื่อนอีก 2-3 คน ต้องระเห็ดไปนอนในถ้ำ ที่ใช้เก็บพวกเทียนพรรษา ของใช้พระสงฆ์ พระพุทธรูป พวกเราจัดแจงเอาเก้าอี้นั่งพลาสติก 2 ตัวมาต่อกันนอนตามมีตามเกิด ข้างนอกฝนก็กระหน่ำไม่หยุด ทำให้อากาศในถ้ำหนาวเย็นยะเยือก ผมต้องนอนกอดอก ตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำเลยครับ จนผมเผลอหลับไปเมื่อไรก็ไม่ทราบได้
แต่แล้ว ผมก็ถูกปลุกด้วยเสียงเหมือนคนหัวเราะดังก้องถ้ำไปหมด ผมค่อยๆ ลืมตามอง แสงไฟจากเทียนพรรษาที่จุดหลายเล่ม ทำให้มองเห็นอะไรในถ้ำได้ชัดเจน ผมมองไปที่ผนังถ้ำเหนือหัวพวกเรา แต่กลับรู้สึกเหมือนมันเป็นหน้าคน คล้ายรูปสลักหินแต่ไม่ใช่ มันค่อยๆ ยื่นออกมาจากผนังด้านบน ยืดลงมาจนใกล้หน้าผม แล้วก็หัวเราะใส่หน้าผมอย่างดัง! ผมตกใจมาก รวบรวมพลังทั้งหมดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้พลาสติก มานั่งหายใจหอบ ใจเต้นรัว พอตั้งสติได้มองไปทางซ้ายและขวา ก็เห็นรุ่นพี่ และเพื่อนๆ ลุกขึ้นมานั่งเหมือนกันหมด ต่างคนต่างมองหน้ากัน แล้วรุ่นพี่ก็ถามขึ้นมาว่า ‘เห็นเหมือนกันไหม?’ เท่านั้นล่ะครับ เป็นอันรู้กัน ทุกคนนี่รีบวิ่งออกจากถ้ำโดยไม่ได้นัดหมาย ฝ่าสายฝนไปนั่งเบียดกันที่ศาลา นั่งสัปหงกกันจนถึงเช้าเลยทีเดียว.. พอเช้า ต่างคนก็ต่างเล่าสิ่งที่ตัวเองเห็นเมื่อคืนในถ้ำให้ฟังกัน สรุปว่าพวกเราทุกคนเห็นเหมือนกันหมด มันเหมือนจะเป็นความฝันมากกว่า แต่ก็แปลกอยู่ดีที่ทำไมถึงมาฝันเหมือนกันหมดทุกคนได้? เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ เวลารวมรุ่นกันก็มักจะต้องพูดถึงเรื่องนี้เสมอ..
พอเช้าวันสุดท้าย ถึงกำหนดกลับพอดี ทุกคนรวมตัวกันกราบลาหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็ให้ศีลให้พรตามระเบียบ แต่ก่อนกลับ หลวงพ่อได้บอกความลับกับพวกเราว่า ‘เมื่อก่อนที่จะสร้างวัดป่าแห่งนี้ ที่นี่เคยเป็นสุสานไร้ญาติมาก่อน มีคนเอาศพมาเผา มาฝังในบริเวณนี้มากมาย ตอนอาตมามาบุกเบิกใหม่ๆ บางครั้งยังเคยเห็นหมาคาบกระดูกคนมาแทะเล่นเลย วันดีคืนดีก็เห็นคนหัวขาดเดินไปเดินมา แต่อาตมาไม่กลัวหรอก แผ่เมตตาให้เขาไป..’ พวกเราได้ฟังอย่างนั้นต่างก็ขนลุกเกลียว และร้องขึ้นมาพร้อมกัน ‘อ้าววว! หลวงพ่อทำไมไม่บอกแต่แรก?’ หลวงพ่อท่านก็บอกแค่ว่า ‘ไม่อยากบอก เดี๋ยวไม่เป็นอันทำงานกัน เราอยู่ส่วนของเรา..เขาอยู่ส่วนของเขา ไม่เกี่ยวกัน’ แล้วท่านก็หัวเราะออกมา
หลังจากกราบลาหลวงพ่อเรียบร้อย ก็แยกย้ายกันไปเก็บข้าวของเครื่องมือขึ้นรถบัสของคณะที่วนมารับตามเวลา แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ยังเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากทุกคนขึ้นรถนั่งประจำที่กันแล้ว กำลังรอคนขับรถมาขับ จู่ๆ รถบัสที่จอดใส่เบรคมือไว้เกิดไหลครับ ซึ่งที่จอดมันเป็นทางลาดลงเขาซะด้วย ทีนี้ล่ะ ถึงเวลาสละยานสิครับ ทุกคนต่างกระโดดลงรถหนีตายกันอุดตลุด เคราะห์ดีที่มีรุ่นพี่คนหนึ่งแกมีสติ วิ่งไปที่นั่งคนขับ เหยียบเบรคและใส่เกียร์ไว้ได้ทัน รถจึงหยุดได้ ..งานนี้เล่นเอาใจหายใจคว่ำ กว่าจะกลับมากันได้ แทบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่วัดป่าผีสิงซะแล้ว.. เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดจากความบังเอิญ ความประมาท หรือสิ่งลี้ลับกันแน่ ก็สุดจะคาดเดาได้ แต่ถ้าจะให้ผมกลับไปที่วัดป่าแห่งนั้นอีก ผมคงไม่เอาอีกแล้วล่ะครับ..
Story by คุณฟง (นามสมมติ)