เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณเลิฟครับ คุณเลิฟเล่าว่า.. ย้อนไปร่วม 20 ปี สมัยนั้นผมอยู่จังหวัดนครสวรรค์ครับ ช่วงปิดเทอมใหญ่ แม่ผมมักจะส่งผมไปเรียนกวดวิชาที่กรุงเทพฯ ทุกปี ตั้งแต่อยู่ ม.1 ..จนมาถึงช่วงปิดเทอมใหญ่ตอนอยู่ ม.3 ผมก็ถูกส่งไปเรียนกวดวิชาอีกตามเคย แต่คราวนี้ผมไปกับเพื่อนอีก 2 คน โดยมีอาจารย์เป็นคนจัดแจงเรื่องที่เรียนที่พักให้ ครั้งนี้ผมได้ไปเรียนที่สถาบันแห่งหนึ่งแถวๆ นางเลิ้งครับ ซึ่งแถวนั้นตึกจะเป็นแนวๆ เดียวกันหมด คือเก่าๆ โทรมๆ น่ากลัวๆ หน่อย.. ไปถึงผมกับเพื่อนก็รู้สึกได้ว่า สถาบันแห่งนี้มีเด็กมาเรียนน้อยมาก น้อยกว่าทุกสถาบันที่ผมเคยเรียนมา คือมีนักเรียนไม่ถึง 20 คน สอนก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ช่างมันครับ มาพูดถึงที่พักดีกว่า
คือที่พักจะเป็นตึกเก่า 7 ชั้น อยู่ด้านหลังสถาบันเลย พอเข้าไปในตัวตึก ตรงกลางจะเป็นลานกว้าง มีโต๊ะให้นั่งอ่านหนังสือ มีโต๊ะปิงปองเก่าๆ 2 ตัว มีโต๊ะกินข้าวเล็กๆ มีทีวีให้ดู เหมือนหอพักทั่วๆ ไป ดีอย่าง ไม่ต้องรีบตื่น รีบอาบน้ำ ไม่ต้องโหนรถเมล์ไปเรียน ตื่นเมื่อไหร่ก็เดินมาเข้าเรียนได้เลย.. แต่ว่าที่นี่มีแค่พวกผม 3 คนที่มาพักน่ะสิครับ เพราะนอกนั้นจะเป็นเด็กกรุงเทพฯ เช้ามาเรียน เย็นกลับบ้าน.. บังเอิญมีป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาเล่าให้พวกผมฟังว่า ‘ที่นี่นะ เคยเป็นโรงเรียนกวดวิชาอันดับ 1 มาก่อน มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งห้องเรียน อาคารพัก ห้องอ่านหนังสือ เมื่อก่อนช่วงปิดเทอมจะมีเด็กจากทั่วทุกมุมของประเทศแห่กันมาเรียนที่นี่ แต่ตั้งแต่ไฟไหม้ที่ตึก 7 ชั้นนี้ ก็ไม่ค่อยจะมีใครมาเรียนอีกเลย..’ ป้าแม่บ้านพูดให้พวกผมฟังเท่านี้ แล้วแกก็เดินจากไปเพื่อไปทำอาหารให้พวกเรา คืออยู่ที่นี่จะเหมือนเด็กหอครับ มีข้าวให้กิน 3 มื้อ มีแม่บ้านคอยซักผ้าให้ และหอจะมีเวลาปิดคือ 4 ทุ่ม ต้องปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด.. พวกผมได้พักที่ชั้น 2 ของตึก 7 ชั้นที่เคยไฟไหม้นั่นล่ะครับ คือที่ชั้น 1 และ 2 ได้ถูกบูรณะใหม่ ทาสีใหม่ ตกแต่งให้เป็นห้องพักได้ แต่ตรงทางขึ้นชั้น 3 เป็นต้นไป จะมีประตูลูกกรงเหล็กปิดไว้ไม่ให้ขึ้น เพราะข้างบนยังไม่มีการทำอะไรทั้งสิ้นตั้งแต่ไฟไหม้ ผมกับเพื่อนเคยลองมองขึ้นไป ยังเห็นเป็นเศษขี้เถ้า และรอยไหม้อยู่เลย..
พวกผมก็อาศัย กิน นอน เรียน อยู่ในสถาบันแห่งนี้ไปเกือบอาทิตย์ ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะครับ สนุกสนานดี เรียนเสร็จก็พากันไปเดินห้าง หรือไม่ก็ตีปิงปองกันข้างล่าง จนพวกผมได้รู้จัก และสนิทกับ พี่ป๊อก ซึ่งเป็นหลานของป้าแม่บ้านนั่นเอง พี่ป๊อกก็ทำงานในสถาบันกวดวิชานี่ล่ะ คอยซีร็อกซ์เอกสารการเรียน วิ่งซื้อสมุด ปากกาให้อาจารย์ ทำนั่นนี่.. ที่สำคัญ พี่แกดันชอบมาเล่าเรื่องผีๆ สางๆ ในสถาบันให้พวกผมฟังครับ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไร เพราะพี่แกดูจะบ๊องๆ ฮาๆ มากกว่า แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พี่ป๊อกแกเล่าให้ฟังว่า.. ‘ทุกคืนก่อนวันพระ คอยฟังให้ดีๆ นะ จะมีเสียงเดิน เสียงลากโต๊ะ เก้าอี้ หรือกระทั่งเสียงร้อง ดังมาจากชั้นบนของตึกที่ไฟไหม้..’ พี่แกเล่าต่ออีกว่า ‘ในคืนที่ไฟไหม้ เป็นคืนก่อนวันพระพอดี ตอนนั้นมีเด็กนักเรียนอยู่เต็มตึก เพราะเป็นช่วงเพิ่งเปิดสถาบันใหม่ๆ ไฟเกิดไหม้ตอนตี 2 ซึ่งมีเด็กบางคนวิ่งหนีลงมาได้ แต่หลายคนก็เสียชีวิตทั้งที่ยังหลับอยู่ หน่วยดับเพลิงฉีดน้ำกันอยู่ทั้งคืนยันสว่าง ไฟถึงสงบ เจ้าหน้าที่ทยอยนำศพเด็กนักเรียนลงมา แต่ละศพไหม้ดำเหมือนตอไม้แห้งๆ บางศพนี่ไส้ทะลัก มือหงิกงอ บางศพเจ้าหน้าที่ห่อผ้าไม่ได้ ต้องแบกลงมาอย่างทุกลักทุเล จนหัวขาดตกลงบนพื้นกลิ้งเป็นลูกฟุตบอลก็มี กลิ่นนี่เหมือนเนื้อย่างไหม้ๆ เหม็นขมๆ เค็มๆ คละคลุ้งไปทั่ว..’ คือพี่ป๊อกแกเล่าได้เห็นภาพมากครับ แถมแกยังชี้ที่พื้นตรงที่พวกผมนั่งอยู่ บอกว่า ‘ตรงนี้แหละ ที่หัวนักเรียนคนนั้นหลุดลงมา!’ เล่นเอาพวกผมสะดุ้งจนต้องลุกจากที่นั่ง วงแตก และกลับขึ้นห้องกันไป..
แล้วในคืนนั้นเอง ดันเป็นคืนก่อนวันพระพอดี ผมคิดในใจ ‘แม่ง! เข้าใจเลือกเวลาเล่าจริงๆ นะมึง ไอ้พี่ป๊อก..’ คืนนั้นพวกผมนอนกันไม่หลับ ยอมรับเลยว่าเรื่องที่พี่ป๊อกเล่ามันน่ากลัวมากจริงๆ จากที่นอนกันคนละเตียง กลายเป็นต้องเอาเตียงมาชิดกันนอนรวมกันเลย.. ‘ได้ผล! เรื่องของมึงทำให้กูกลัวได้ ไอ้เชี่ยพี่ป๊อก’ พวกผมต่างด่าพี่ป๊อกกันเป็นเสียงเดียว ..คุยกันไปคุยกันมา ก็เผลอหลับกันไปทั้ง 3 คน จนผมมารู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่เพื่อนผมมันสะกิดที่แขนให้ผมฟังเสียงบางอย่าง..
‘เอี๊ยดๆ’ .. ‘ครืดๆ’ .. ‘ครืดดด’
มันเหมือนเสียงลากอะไรบางอย่างหนักๆ ไปบนพื้น พอตั้งสติได้ ถึงรู้ว่ามันดังมาจากชั้นบนของห้องพวกผม! ‘เสียงลากเก้าอี้..ลากโต๊ะ..ว่ะ’ เพื่อนผมคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบา อีกคนก็พยักหน้าแทนคำตอบว่า ‘ใช่แล้ว..’ ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมา สักพักเสียงก็เงียบไป แต่.. ไม่ถึง 5 นาที มันก็ดังอีกครับ เป็นอย่างนี้เกือบครึ่งชั่วโมง เหงื่อผมซึมเปียกหลังไปหมด คิดในใจว่า ‘หรือเรื่องที่พี่ป๊อกเล่าจะเป็นจริง?’ อีกใจก็คิดว่า ‘หรือไอ้เชี่ยพี่ป๊อกนั่นแหละแกล้ง?’ มันสองจิตสองใจกล้าๆ กลัวๆ แล้วระหว่างที่นั่งกลัวกันอยู่นั้นเอง.. ‘ก๊อกๆๆ’ เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังรัวๆ ทีนี้จากนอนๆ อยู่ ถึงกับต้องลุกมานั่งกอดกันทั้ง 3 คน เพื่อนมันก็บอกให้ผมไปเปิด ไอ้ผมก็กลัว บอกให้เพื่อนไปเปิด เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา.. จากเสียงเคาะประตู ทีนี้กลายเป็นทุบเลยครับ ‘ปัง ปัง ปัง!!’ ดังมากๆ ผมพยายามตะโกนไปว่า ‘ใคร ใคร แม่บ้านเหรอ? .. พี่ป๊อกเหรอ?’ แต่ก็เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ
แต่เสียงทุบประตูยังคงดังต่อเนื่อง จนเพื่อนผมมันคงกลัวจนโมโห ไอ้นี่ค่อนข้างจะบ้าๆ ด้วยครับ มันลุกจากเตียง ดึงมือผมกับเพื่อนอีกคน บอก ‘ไปกันหมดนี่ล่ะ ถ้าเปิดมาเจอไอ้พี่ป๊อกนะ เตะแม่งคนละที!’ ผมกับเพื่อนก็เอาไงเอากันครับ พวกเราเยอะกว่า เลยลุกจากเตียงไปพร้อมกัน ..ระหว่างนั้นเสียงทุบประตูก็ยังดังต่อเนื่อง เพื่อนผมบอก ‘เดี๋ยวพอเปิดประตูนะ เอาตีนถีบออกไปพร้อมกันเลย กูว่าไอ้เชี่ยพี่ป๊อกชัวร์!’ ตอนนั้นบอกเลย พวกผมนี่กำลังใจมาเต็มครับ.. พอเพื่อนผมบิดลูกบิด พวกผมถีบไปพร้อมกัน 3 ตีนอย่างแรง! ..แต่แทนที่จะเป็นร่างของพี่ป๊อกที่กระเด็นล้มลงกับพื้นอย่างที่พวกผมคิดไว้ แต่เปล่าเลยครับ ว่างเปล่า.. ไม่มีใคร หรืออะไรอยู่หน้าห้องเลย.. พวกผมมองหน้ากันไปมา ก่อนที่จะรีบปิดห้อง และกระโจนกันกลับเตียงไปนอนคลุมโปง ไม่มีคำพูด หรือเสียงใดๆ เล็ดลอดออกจากปากพวกผมทั้ง 3 คนอีกเลย.. คืนนั้นได้แต่นอนฟังเสียงลากเก้าอี้ และเสียงเคาะประตูห้อง จนเพลียหลับไปเอง..
รุ่งขึ้น พวกผมงัวเงียลงมากินข้าวต้มที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้เหมือนทุกวัน แต่วันนี้ที่โต๊ะอาหารขาดเสียงพูดคุย และเสียงหัวเราะของพวกเรา ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาซดข้าวต้มร้อนๆ เพื่อปลอบขวัญจากเหตุการณ์เมื่อคืน.. แล้วพี่ป๊อกก็เดินมาครับ มาหัวเราะเมื่อเห็นสภาพพวกผมแต่ละคน พี่แกบอก ‘ที่เล่าน่ะ เรื่องจริงล้วนๆ รุ่นก่อนๆ หน้านี้ก็เจอกันมาหมดแล้ว บางคนทนไม่ไหวก็เลิกเรียนกลับบ้านไปเลยก็มี ไม่แปลกใจเหรอวะ ว่าทำไมนักเรียนถึงได้น้อยลงๆ?’ พี่แกยังบอกอีกว่า ‘สถาบันแห่งนี้คงจะปิดในไม่ช้า รุ่นพวกมึงอาจจะเป็นรุ่นสุดท้ายของที่นี่ก็ได้..’ พูดจบ พี่ป๊อกก็เดินจากไป.. แต่หลังจากนั้นมา ผมกับเพื่อนก็ยังคงเรียนอยู่จนจบคอร์ส และต้องทนฟังเสียงประหลาดทุกๆ คืนก่อนวันพระ..
Story by คุณเลิฟ