เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณแคทครับ เป็นเรื่องเก่าที่คุณแคทได้ฟังต่อมาจากเพื่อนของเพื่อนอีกที โดยเรื่องมีอยู่ว่า.. ณ มหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งของภาคตะวันออก เมื่อปีการศึกษา 2526 ผมอยู่ที่นี่มา 2 เดือนแล้ว กำลังปรับตัวให้เข้ากับชีวิตเด็กหอของมหาวิทยาลัยนี้ แต่มันไม่ง่ายเลยกับการที่เคยอยู่บ้านสบายๆ แล้วต้องออกมาอยู่เองตัวคนเดียว รับผิดชอบตัวเองตั้งแต่ตื่นยันหลับ หอพักที่มหาวิทยาลัยจัดไว้ให้ แบ่งเป็นหอชาย 7 หอ ผมได้อยู่หอที่ 7 ซึ่งถือว่าเป็นหอใหญ่ที่สุด แบ่งเป็นปีกซ้ายปีกขวา มีทางเดินเชื่อมตรงกลาง ข้างหน้าหอเป็นลานจอดรถ ส่วนด้านหลังเป็นสนามกีฬาที่เหล่านักศึกษาของแต่ละหอจะมาใช้ร่วมกัน ตกเย็นก็ครึกครื้นมาก แต่พอดึกแล้วนี่สิครับ เงียบเหงาวังเวงสิ้นดี เพราะในรั้วมหาวิทยาลัยมีกฏระเบียบควบคุมบังคับ จะเฮฮาอึกทึกครึกโครมดึกๆ ดื่นๆ เหมือนพวกหอพักเอกชนนอกมหาวิทยาลัยไม่ได้ ใครทนเงียบทนเหงาไม่ได้ก็ต้องออกไปอยู่หอนอก ส่วนตัวผมจำเป็นต้องทนเหงาอยู่หอใน เพราะว่าค่าหอนั้นถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง แต่ก็ดีที่ยังมี ไอ้แกว เพื่อนผม เป็นนักศึกษาเฟรชชี่ปีหนึ่งเหมือนกัน ถึงจะอยู่คนละคณะ แต่ก็อยู่หอพัก 7 นี้ด้วยกัน แต่ว่าตอนนี้มันย้ายไปอยู่หอนอกแล้ว และก็เพราะมันนี่ล่ะ ที่ทำให้ผมต้องลาจากหอนี้ไปตลอดกาล..
คืนวันหนึ่งที่ห้องผม ผมนั่งมองไอ้แกวซดมาม่าเข้าไปถึง 4 ซอง ผมก็ได้แต่พูดกับมันว่า ‘ไม่เข้าใจเลยว่ามึงไปอดมากี่มื้อ ก็เพราะย้ายออกไปอยู่หอนอกนั่นแหละ อย่างเราๆ น่ะ หักค่าหอแล้วก็แทบจะใช้เดือนไม่ชนเดือน แล้วนี่มึงย้ายออกไปทำไม?’ มันก็บอกผมว่า ‘ไม่อยากออกหรอก แต่มีเหตุจำเป็น..’ ผมก็เลยถามมันว่า ‘เหตุจำเป็นบ้าบออะไรของมึง ค่าเช่าหอเค้าก็ให้ค้างได้จนสอบมิดเทอม มีเวลาถมเถ?’ มันก็บอกว่า ‘ถ้าอยากรู้นักก็จะบอกให้ก็ได้..’ แล้วไอ้แกวมันก็ถามผมว่า ‘มึงรู้ใช่ไหมว่ากูอยู่ห้อง 206’ ผมตอบว่า ‘ห้อง 206 ตรงข้ามทางเดิน ใช่..ทำไมล่ะ?’ มันก็ร่ายยาวเลยครับ มันถามผมต่อว่า ‘เคยได้ยินคอลเรียกนายไพโรจน์ห้อง 206 ลงไปรับโทรศัพท์ไหม?’ ผมก็ตอบว่า ‘เคยสิ รูมเมทมึงเหรอ? ไม่เห็นพามาแนะนำเลย..’ มันก็บอกว่า ‘จะพามาได้ไง กูอยู่ห้องคนเดียว มีคนชื่อไพโรจน์ที่ไหนล่ะ พอมีเสียงคอลขึ้นมา กูก็จะต้องลงไปบอกว่าไม่มีชื่อนี้ แต่พอผ่านไปหลายวันเข้าเขาก็ยังคอลมาให้ไปรับโทรศัพท์เรื่อยๆ จนมีอยู่ครั้งหนึ่งกูทนไม่ไหว เลยลงไปรับสายเองดู ปรากฏว่าเป็นเสียงป้าแก่ๆ โทรมาหาลูกชายแก กูก็บอกไปว่าห้องที่โทรขึ้นไปไม่มีคนชื่อนี้ แต่แกก็ไม่เชื่อ หาว่ากีดกันไม่ให้พบกับลูกชายแก ก็มีปากเสียงกันไป.. แต่ไม่ใช่แค่นี้ คือป้าแกจะโทรมาแค่วันศุกร์ตอน 3 ทุ่มเท่านั้น วันอื่นเวลาอื่นแกไม่โทรเลย.. หลังจากวันนั้น กูก็ไปถามเกี่ยวกับคนชื่อไพโรจน์นี้ แต่นักศึกษาปีนี้ไม่มีใครชื่อไพโรจน์เลย จนหนักเข้า มันต้องไปค้นที่สำนักทะเบียนประมวลผล สรุปว่าไพโรจน์เป็นนักศึกษาปี 1 เมื่อปีก่อน แล้วก็พ้นสภาพนักศึกษาไปแล้ว เพราะไพโรจน์น่ะตายไปแล้ว..’
ฟังถึงตรงนี้ผมก็เริ่มหนาวๆ เย็นๆ ขึ้นมาเฉยๆ ครับ เพราะท่าทีการเล่าของไอ้แกวมันดูซีเรียสมาก มันเล่าต่อว่า.. ‘เพราะไพโรจน์เป็นน้องปี 1 เลยโดนรุ่นพี่แกล้ง ให้ไปเอาน้ำแข็งที่สั่งไว้โดยต้องร้องเจี๊ยกๆ เหมือนลิงไปตลอดทาง คนก็ฮากันทั้งโรงอาหาร พอตกเย็นไพโรจน์ก็ผูกคอตายในห้อง 206 ซึ่งเป็นห้องที่มันเคยอยู่นั่นแหละ! แต่ว่าไพโรจน์น่ะยังไม่เท่าไหร่ ไอ้แม่ไพโรจน์นี่สิ ตอนนั้นป้าแกนอนอยู่โรงพยาบาล และเสียชีวิตหลังจากลูกชายตายไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ยังไม่ทันรู้เรื่องที่ลูกชายตัวเองผูกคอตายเลยด้วยซ้ำ..’ ผมฟังไปมาก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้วันศุกร์ และตอนนี้ก็ใกล้จะ 3 ทุ่มแล้ว เลยกะจะลงไปรอดูโทรศัพท์ว่าจะดังจริงไหมโดยที่ไม่สนใจเสียงคัดค้านของไอ้แกวเลย
พอพวกผมลงไปถึงข้างล่าง ตอนนั้นไม่มีใครอยู่เลย พอเวลา 3 ทุ่ม โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาจริงๆ ครับ ผมเลยใจดีสู้เสือลองรับสายดู และแกล้งบอกว่า ‘ผมไพโรจน์ครับ..’ เสียงที่พูดกับผมเป็นเสียงผู้หญิงแก่ๆ เท่าที่สังเกตมันแก่มากจนผิดปกติ ระหว่างกำลังต่อปากต่อคำกัน ผมก็เห็นไอ้แกวมันลุกลี้ลุกลนแปลกๆ แล้วมันก็สะกิดผมยิกๆ พร้อมกับชูสายโทรศัพท์ที่ขาดให้ดูด้วยมือสั่นระริก ผมนี่ตาแถบถลน โยนโทรศัพท์ทิ้งดังโครม แล้วแหกปากร้องก้องหอพักเลยครับ และนั่นคือเหตุผลที่ผมตัดสินใจย้ายออกไปอยู่หอนอกทันที
Story by คุณแคท