..ต่อจากตอนที่แล้ว
พอเข้าห้อง เราก็เกิดความรู้สึกขนลุก ร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาอีก คิดในใจ ‘เป็นบ้าอะไรวะกู?’ ตอนนั้นเกิดคิดท้าทายขึ้นมา คือปกติจะใส่สร้อยพระติดคอตลอด แต่ด้วยความอยากพิสูจน์หรืออะไรก็ไม่รู้ เลยถอดสร้อยพระออกวางไว้ที่โต๊ะทำงาน รูมเมททั้ง 2 คนก็หลับสนิทไปแล้วค่ะ หลังจากเราอาบน้ำทำอะไรๆ เสร็จ ก่อนจะสวดมนต์ก่อนนอน รู้สึกว่าใจมันลุกลี้ลุกลน ชาๆ ปลายเท้า เลยไม่ได้สวด ทิ้งตัวนอนไปเลย พยายามจะหลับตานอน แต่ก็มีอะไรบางอย่างไม่รู้มาทำให้สะดุ้งตกใจ เหมือนว่าตัวเราเองกำลังตกใจกลัวถึงขีดสุด จะนอนๆ ก็เป็นขึ้นมาอีก นอนไม่ได้เลย เป็นอยู่อย่างนั้นจนอิดโรย หมดเรี่ยวแรง จะหลับปนเป็นลม แต่ก็พยายามข่มตานอน ถึงจะไม่หลับเพราะรู้สึกตัวอยู่ตลอด.. ทีนี้รู้สึกว่ามีน้ำหยดใส่หน้าผากเรา รู้สึกได้เลยว่าน้ำแน่นอน เลยรีบเอามือไปจับหน้าผาก แต่ก็ไม่มีน้ำอะไรเลยสักนิด? เป็นแบบนั้นอยู่หลายรอบ เหมือนถูกรบกวนตลอด จนประมาณ 6 โมงเช้าถึงได้หลับจริงๆ ค่ะ ตื่นมาอีกที 8 โมง รูมเมทไปเรียนกันหมดเเล้ว เราก็เข้าห้องน้ำกะจะแต่งตัวไปเรียน อาบน้ำเสร็จแต่งตัวเสร็จจะไปทาครีมที่หน้ากระจก ปรากฏว่าเลือดกำเดาไหลค่ะ ไหลไม่หยุดเลย เราก็ตกใจ สุดท้ายชุดเปื้อนเลือดเลยต้องเปลี่ยนใหม่อีก
ช่วงนั้นเรารู้สึกไม่เป็นตัวเองเลย บางทีรู้สึกอยากทำไม้ทำมือแปลกๆ อยู่ๆ ก็อยากยกมือขึ้นมารำ อยากทำหน้าตาแปลกๆ ได้แต่ตั้งสติถามตัวเองว่า ‘เราเป็นอะไรไป?’ ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังก็สะดุ้งตกใจ หัวใจนี่เต้นเร็วมาก พี่เดย์โทรเข้ามาถามว่าไปเรียนหรือยัง? เราก็บอกว่ายัง เราเลยบอกพี่เขาไปว่า ‘พี่เดย์ หลิงเป็นอะไรไม่รู้ ไม่เป็นตัวเองเลย หลิงเหมือนมี 2 คน..’ พี่เขาก็บอกให้เราลงไปหาข้างล่างตึก พอลงไป พี่เขาก็ถามเราว่าไปเจออะไรมา? เราก็ได้แต่ร้องไห้ พี่เขาถามอีกว่า ‘หลิงได้ไหว้เจ้าที่หรือยัง?’ เราก็ตอบไปว่ายัง แล้วพี่เขาก็ถามต่อว่า ‘หลิงไปลบหลู่ ไปท้าทายอะไรหรือเปล่า?’ เราก็เล่าที่เราเคยปากเสียท้าทายไว้ ว่าให้สิ่งที่เราไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่ามาอยู่กับเราได้.. ทีนี้พี่เดย์เลยเล่าให้เราฟังว่า ‘คนเก่าคนแก่ที่ทำงานอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยนี้เคยเล่าให้พี่ฟังว่า ที่ชั้น 4 ของตึก C เคยมีนักศึกษาเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้วคืนที่นักศึกษาคนนั้นเสียชีวิต เขาบอกเพื่อนของเขาว่า เห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดสีขาวอุ้มแมวดำยืนอยู่ที่หน้าห้อง..’ เรานั่งฟังก็คิดตามไปว่า งั้นสิ่งที่เราเห็นในห้องอาจจะไม่ใช่ตาฝาดไปก้ได้ แล้วพี่เขาก็ยังบอกอีกว่า ‘เขาเล่ากันว่า ถ้าเจอแมวดำที่ไหน แปลว่าผีผู้หญิงชุดขาวก็อาจจะอยู่แถวนั้น..’ พอพี่เขาเล่าจบ เขาก็ถามเราว่า ‘แล้วถอดพระออกทำไม? งั้นหลิงเอาพระของพี่ไปใส่ก่อนนะ เผื่ออะไรจะดีขึ้น..’ แล้วตอนนั้นเอง เราก็ตะโกนใส่หน้าพี่เขาไปว่า ‘ไม่ใส่! อย่ามายุ่ง!’ แล้วพี่เขาก็ทำหน้าตกใจ และถามเราว่า ‘หลิงเป็นอะไร ทำไมเป็นแบบนี้?’ คือตอนนั้นเรารู้สึกได้เลยว่าตัวเราไม่ใช่ตัวเราอีกแล้ว เหมือนมันมีอะไรบางอย่างอยู่ในตัวเราด้วย แล้วเราก็เดินลุกกลับขึ้นห้องไป โดยที่พี่เดย์ก็เรียกเราอยู่อย่างนั้น..
วันนั้นเราไม่ได้ไปเรียนทั้งวัน พอตกดึกเราก็นอนไม่หลับอีก เดี๋ยวอยากเปิดไฟเดี๋ยวอยากปิดไฟ ปลายเท้าเริ่มชา และเจ็บหลังเหมือนมีอะไรมาแทง จนรูมเมทถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ไหวไหม ทำไมไม่นอน เราก็ไม่ได้ตอบอะไร.. ปลายเท้าก็ยังคงชาอยู่เเบบนั้น และรู้สึกว่ามือเท้าเย็นมาก.. เราเริ่มไม่ไหวละ เราโทรหาแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด เล่าทุกอย่างตั้งแต่แรกให้แม่ฟัง และบอกแม่ว่าหนูไม่ไหวเเล้ว แม่ก็ทั้งร้องไห้ทั้งปลอบใจ บอกว่าใจเย็นๆ นะ แม่กำลังไปหา.. คืนนั้นเรานอนลืมตาทั้งคืน และอาการชาปลายเท้าก็เริ่มลามขึ้นมาที่ขาเรื่อยๆ น้ำตาก็ไหล ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เราอยู่ในสภาพแบบนั้นยันเช้า ลืมตาอยู่อย่างนั้น เห็นรูมเมททั้ง 2 คนแต่งตัวกำลังจะออกไปเรียน พอทุกคนออกไปหมด เราก็เริ่มชาขึ้นมาอีกจนถึงเอว นาทีนั้นคือเราเดินไม่ได้แล้ว เลยโทรหาแม่ แม่ก็เห็นว่าท่าไม่ดี เลยโทรไปหาญาติห่างๆ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ปี 4 มหาวิทยาลัยเดียวกันแต่อยู่หอนอก ให้ช่วยเข้ามาดูเราให้ก่อน.. เรานอนตัวตรงน้ำตาไหล วูบๆ เหมือนสติจะหลุดให้ได้ ที่มือก็เริ่มจะชาเพิ่มขึ้นมาละ กลิ้งได้แค่ลูกตามองเพดานไปมา ในใจก็คิดว่าเราจะต้องตายแน่ๆ จะไม่ได้เห็นหน้าแม่ครั้งสุดท้าย เรารอแม่ไม่ไหวเเล้ว..
ประมาณครึ่งชั่วโมงได้ เสียงเคาะห้องก็ดังขึ้น บวกกับเสียงใครๆ หลายคนตะโกนเรียกเรา ทั้งเคาะ ทั้งเรียก เราพูดได้แค่เบาๆ ว่า ‘ไปไม่ได้..ไม่ไหวเเล้ว’ แล้วเสียงถีบประตูดังอยู่ประมาณ 5-6 ที ประตูก็เปิดออก เราเห็นหน้าพี่ที่เป็นญาติ เขาวิ่งมากอดเราที่เตียง คนที่มาด้วยทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งเจ้าหน้าที่หอพัก ต่างตะลึงในสภาพของเรา เขาถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้? ทุกคนจับขาเราที่เลือดไม่วิ่งเลย เย็นหมดแล้ว พี่ๆ พากันนวดที่ขา ส่วนพี่อีกคนโทรเรียกรถพยาบาล พี่ที่เป็นญาติเราบอกว่า ‘แม่กำลังมานะ อย่าเพิ่งเป็นอะไร..’ สักพักรถพยาบาลก็มาถึง แล้วเราก็ถูกหามลงมาจากบนห้องทันที
พอไปถึงโรงพยาบาล เรารอแม่มาหา น้ำตาก็ไหล พี่จับแขนเราไว้บอกให้ทำใจดีๆ ไม่มีอะไรแล้ว หมอฉีดยานอนหลับให้เพราะหาสาเหตุไม่เจอ (เราแทบไม่ได้นอนมา 2 คืน) แต่เราก็ไม่หลับเหมือนเดิมไม่รู้เพราะอะไร พอแม่มาถึงแม่ก็ร้องไห้แล้วมากอดเรา พร้อมกับถอดพระของแม่มาสวมให้เรา ปรากฏว่าอาการชานั้นก็หาย หายไปหมดเหมือนคนแกล้งเลยล่ะค่ะ.. แล้วหลังจากที่เราออกจากโรงพยาบาล พี่ก็มาเล่าให้เราฟังว่าตอนที่เข้าไปเจอเราในห้อง สภาพเราเหมือนศพเลย ขานี่ซีดจนม่วงไปหมดทั้ง 2 ข้าง และที่เราต้องตกใจอีกก็คือ พี่บอกว่าตอนที่พี่มาถึงพี่เห็นแมวดำตัวหนึ่งอยู่ที่หน้าห้องเราด้วย กำลังข่วนประตูห้องเราอยู่ ตอนนั้นทุกคนต่างพากันเชื่อว่าเราอาจจะเป็นเหมือนนักศึกษาที่ตายคนนั้นก็เป็นได้..
หลังจากที่เราผ่านเรื่องนั้นมาได้ แม่เราก็พาไปทำบุญกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลไปให้เขา ทั้งอาจารย์ เจ้าหน้าที่หอ และรุ่นพี่ก็แนะนำว่าเราไม่ควรกลับไปอยู่ที่หอนั้นอีก เขาอนุญาตให้เราออกไปอยู่หอนอกได้ พวกเขารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเราแต่พวกเขาไม่พูด แต่เราก็ตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยนั้นไปเลยค่ะ.. เรามาคิดดูอีกทีว่าเหตุการณ์นั้นมันอาจจะเกิดขึ้นเพราะเราท้าเขาให้ ‘มาอยู่ด้วยกัน’ และเขาก็มาอยู่จริงๆ เพียงแต่ไม่ได้มาอยู่ในห้องกับเรา แต่กลับมาอยู่ในร่างของเราแทนค่ะ..
Story by คุณหลิง