เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องจากคุณแอมป์ ชุติพงษ์ ครับ คุณแอมป์เล่าว่า.. จากเรื่อง ไปส่งผี มันเป็นจุดเริ่มต้นของผม และเพื่อนๆ ที่อยากจะทำอะไรห่ามๆ ตามประสาวัยรุ่น พวกเราตั้งชื่อกลุ่มกันว่า แก๊งค์ส่องผี โดยรวมกลุ่มกันแรกเริ่มแค่ไม่กี่คนครับ มีหลักๆ ก็ 3 คนแรก ก็คือผม ไอ้กลม และไอ้แตง (ที่ไปเจอผีซ้อนท้ายผมจากเรื่องที่แล้วนั่นเอง) พวกเราเริ่มปฎิบัติการ ส่องผี ครั้งแรกของแก๊งค์ โดยนัดประชุมกันช่วงบ่ายวันศุกร์หลังเลิกเรียน ที่ห้างโอชอง (อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันไม่มีแล้ว) คุยกันว่าคืนนี้พวกเราจะไปส่องผีกันที่ไหนดี? ไอ้แตงเป็นคนเสนอมาก่อนเลยว่า ที่แรกของพวกเราต้องเป็นที่นั่นเท่านั้น โรงแรมร้าง ซึ่งคนสมัยก่อนจะรู้จักดี เป็นโรงแรมร้างตั้งอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟเชียงใหม่ มีคำร่ำลือต่างๆ นานาว่าผีดุ มีคนตายที่นี่เยอะมาก และเคยมีวัยรุ่นมาลองของกันเยอะพอสมควร บ้างก็ไม่เจออะไร บ้างก็ถึงกับเข้าโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว แต่ที่ได้ยินเป็นเสียงเดียวกันมากที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องที่คนมักจะมาฆ่าตัวตายกันที่นี่ หลายต่อหลายศพที่เจ้าหน้าที่มาเก็บไป ที่รู้คือไม่ต่ำกว่า 5-6 ราย ไหนจะที่ไม่รู้อีกล่ะ! ซึ่งผมก็ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดหรอกนะครับว่าเพราะอะไร และทำไม? แต่ที่แน่ๆ คืนนี้พวกเรา 3 คนจะไปลองของกันที่นี่!
พวกเรานัดมาเจอกันที่หอพักผม ซอยโจ๊กสมเพชร ตอนเวลาประมาณเที่ยงคืน มากันครบพวกเราก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปกัน 2 คัน ผมขี่คนเดียวเหมือนเดิม.. พอถึงก็ไปจอดรถเอาไว้ริมถนน ซึ่งโรงแรมแห่งนี้ก็อยู่ริมถนนเหมือนกัน เพียงแต่ตัวตึกโรงแรมจะอยู่ห่างออกไปอีกหน่อย ต้องเดินเข้าไปพอสมควร แต่พอมีไฟจากถนนทำให้เห็นรูปทรงตัวตึกสลัวๆ พวกเราค่อยๆ เดินเข้าไปเพราะต้องรอไอ้แตง (ไอ้แตงเป็นโปลิโอครับ มันจะกะเผลกๆ หน่อย) พวกเราใช้ไฟฉายค่อยๆ เดินสำรวจจากด้านนอกก่อน เวลาตอนนั้นประมาณตี 1 นิดๆ อากาศเย็นๆ วังเวงชวนขนลุกมาก เสียงรถที่เคยมีก็เริ่มค่อยๆ หายไป ทำให้ได้ยินแต่เสียงของพวกเรา ผมเดินมาบริเวณบันไดหนีไฟด้านข้างของโรงแรม มันจะมีถังน้ำมัน 200 ลิตรใหญ่ๆ หลายถังวางทับๆ กันอยู่เยอะมาก รวมไปถึงพวกต้นหญ้าต้นใหญ่ๆ มีหนาม ขึ้นล้อมรอบปิดทางขึ้นจนหมด หมาสักตัวก็ขึ้นไปไม่ได้แน่ๆ ผมจึงเดินย้อนมาด้านหน้าโรงแรมที่เป็นเหมือนประตูทางเข้า พอผมเดินมาถึงบริเวณหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนหัวเราะ และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ ผมหยุดกึก.. และค่อยๆ ตั้งใจฟังเสียงนั้น พร้อมกับมองหาที่มาของเสียง ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ซึ่งค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนดังมาจากด้านในโรงแรม ตอนนั้นผมเริ่มเหงื่อตกครับ มองหาไอ้เพื่อน 2 คน ก็เห็นแสงจากไฟฉายมันไกลๆ ผมเลยตะโกนเรียกมัน 2 คนให้เดินมาหาไวๆ ระหว่างที่ผมตะโกนเรียกพวกมันซ้ำๆ บอกให้เร็วๆ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนแบบสุดเสียงออกมาว่า ‘เงียบ เงียบ!’ คือเสียงดังมาก! จนผมนี่สะดุ้งเลยครับ ยืนนิ่งมองหาที่มาของเสียง พอไอ้เพื่อน 2 คนมาถึง มันก็ถามผมว่า ‘มีอะไร มึงเป็นอะไร ทำไมยืนนิ่งเชียววะ?’ ผมเลยถามพวกมันว่า ‘พวกมึงไม่ได้ยินเสียงเมื่อกี้เหรอวะ?’ มัน 2 คนมองหน้ากันแล้วถามผม ‘เสียงอะไร? ซึ่งตอนนั้นทำให้ผมมั่นใจเลยครับ ว่าผมคงได้ยินคนเดียว ทั้งที่เสียงออกจะเสียงดังขนาดนั้น และมันคงจะเป็นเสียงของอดีตมนุษย์แน่ๆ แต่ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้ว แค่นี้ยังถือว่าสบายๆ พอขนลุก ดังนั้นพวกเราก็ต้อง Go on ครับ!
หลังจากที่ผม และเพื่อนๆ เดินเข้ามาภายในตัวโรงแรม สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้คือกลิ่นสาปอับๆ ซึ่งสภาพโรงแรมบอกได้เลยว่าเหมือนผ่านสงครามมาอย่างหนักหน่วง ทั้งเศษกระจกที่แตกเต็มพื้นไปหมด รอยผนังที่แตกร้าว เศษผ้าขาดๆ เดาว่าน่าจะมาจากพวกผ้าม่าน และมีร่องรอยเหมือนถูกไฟไหม้อยู่ทั่วไปหมด สภาพดูเก่า และทรุดโทรมมากกว่าที่คิด แต่แปลกตรงที่มันไม่มีเศษขยะ ขวดเหล้า เบียร์ หรือสิ่งของที่มักพบเจอเวลาไปตามอาคารร้าง ที่มักจะมีพวกคนเร่ร่อนมาอาศัย หรือพวกวัยรุ่นขี้ยามาสุมหัวอยู่ พวกเรา 3 คนเดินวนสำรวจรอบๆ ชั้นล่าง ซึ่งผมเดินแยกห่างออกมาคนเดียว ให้ไอ้กลมอยู่ดูแลไอ้แตงมัน ระหว่างที่เดินๆ อยู่ ผมก็ได้กลิ่นเหมือนอะไรเน่าๆ โชยมา ผมนี่หน้าถอดสีละครับ แต่พยายามไม่คิดอะไรมาก คิดว่าน่าจะเป็นหนูตายหรือสัตว์อะไรมาตายในนี้ แต่ที่แปลกคือ พอหันไปถามไอ้ 2 คนว่าได้กลิ่นอะไรไหม? พวกมันกลับบอกไม่ได้กลิ่น.. ผมคิดในใจ ‘เอาแล้วไงกู..’ แต่ผมก็ยังใจแข็งเดินหน้าต่อไป ผมส่องไฟฉายไปเรื่อยๆ เดินจนไปถึงบริเวณบันไดทางขึ้น จังหวะที่ผมเอาไฟฉายส่องขึ้นไป จู่ๆ ก็มีแจกันหรือถ้วยอะไรสักอย่างตกลงมาจากข้างบน เพล้งงงง!! ผมนี่สะดุ้งโหยงเลย! คือตกใจมาก พอตั้งสติได้เลยลองเอาไฟฉายส่องดูว่ามันคืออะไร? มันเป็นเหมือนกระถางธูปที่เขาไว้ปักธูปไหว้พระ ซึ่งยังมีข้าวสาร และทรายอยู่ แต่ด้วยความสงสัยว่ามันตกลงมาได้อย่างไร? เพราะจากลักษณะการตก มันเหมือนมีคนจงใจโยนลงมา! พวกเรา 3 คนมองหน้ากันแบบเจื่อนๆ ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากถามเพื่อนอีก 2 คนว่า ‘มึงยังจะไปกันต่อไหม?’ พวกมัน 2 คนพยักหน้าด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ พร้อมกับพูดว่า ‘เอาวะ ไปต่อก็ไปต่อ..’
ผมขึ้นบันไดมาบริเวณชั้น 2 ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก มีพวกรอยแตกร้าว เศษกระจก เศษผ้าเหมือนชั้นล่าง แต่แค่มีส่วนแยกเป็นห้องๆ ให้เราได้สำรวจกัน พวกเราแยกย้ายมาสำรวจกันคนละฝั่ง ซึ่งผมได้มาคนเดียว (อีกแล้ว) ผมยังคงได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาเป็นระยะๆ แต่รู้สึกเหมือนยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไร ก็ยิ่งได้กลิ่นแรงขึ้นๆ ผมเดินสำรวจตามห้องต่างๆ จนทั่วชั้น 2 ก็ไม่พบอะไร เลยเดินกลับมาทางเดิมตรงบันได เพื่อที่จะขึ้นไปชั้นต่อไป แล้วระหว่างทาง จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนผู้ชายเรียก และพูดว่า ‘อย่าไป อย่าไป..’ ผมขนลุกซู่ขึ้นมาอีกครั้ง รีบจ้ำอ้าวเดินเลยครับทีนี้ พอมาถึงตรงบันได ก็มาเจอไอ้เพื่อน 2 คนยืนรออยู่ก่อนแล้ว ไอ้แตงมันก็ทักขึ้นมาว่า ‘เมื่อกี้มึงได้ยินเสียงอะไรเปล่าวะ?’ ไอ้กลมรีบสวนขึ้นมาทันที ‘เออ กูได้ยิน!’ ผมเลยถามไอ้กลมไปว่า ‘มึงได้ยินอะไร?’ มันก็บอกว่า ‘กูได้ยินเสียงผู้หญิงพูดว่า อย่าไป อย่าไปเลยนะ..’ ส่วนไอ้แตงก็บอกให้ฟังถึงสิ่งที่มันได้ยินว่า ‘เออ กูก็ได้ยินเหมือนกัน แต่เป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง..’ แม่คุณเอ้ย! ผมนี่ขนลุกมากๆ รู้สึกหนาวมาถึงต้นคอเลยครับ พวกเรายืนนิ่งกันอยู่ตรงบันไดพักใหญ่ ก่อนที่ผมจะบอกว่า ‘ป่ะ! ไปข้างบนกันต่อ’ ทั้งๆ ที่ในใจตอนนั้นเริ่มกลัวมากขึ้นๆ ทุกทีแล้ว และมีสังหรว่าจะต้องเจออะไรสักอย่างแน่ๆ คืนนี้
โปรดติดตามตอนต่อไป..
Story by คุณแอมป์ ชุติพงษ์