เรื่องนี้มาจากคุณณัฏฐ์ครับ คุณณัฏฐ์เล่าว่า.. ย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเราอายุประมาณ 19 ปี เพื่อนเห็นว่าเราชอบทำบุญทำทาน เลยชวนไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ เราก็ตกลงไปเพราะว่างพอดี วัดนั้นเป็นวัดชื่อดังมากสำหรับสายปฏิบัติธรรม เพราะเงียบสงบเนื่องจากตัววัดตั้งอยู่กลางเขา มีหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวเขาอยู่ใกล้ๆ พอให้พระบิณฑบาตรได้อยู่ 2-3 หมู่บ้าน คอร์สปฏิบัติธรรมที่เราเข้าร่วม เป็นคอร์สระยะสั้นเวลา 7 วัน ปิดวาจา ถือศีล 8 กินมังสวิรัติ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ และห้ามอ่านหนังสืออื่น นอกเหนือจากหนังสือหลักปฏิบัติที่ทางวัดแจกให้เพียงเล่มเดียว ซึ่งหนามาก
นอกจากเรากับเพื่อนอีกคนที่มาด้วย คนอื่นๆ ก็เป็นผู้ใหญ่หมด บางคนบินมาจากต่างประเทศเพื่อมาปฏิบัติธรรมที่นี่โดยเฉพาะ ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่น ทำให้การปฏิบัติธรรมแบบนี้เป็นอุปสรรคต่อจิตใจ และร่างกายมากกกก นั่งสมาธิ และเดินจงกรมเฉลี่ยวันละ 17 ชั่วโมง ที่เหลือคือเวลากินข้าว 2 มื้อ กับเวลาอาบน้ำ และนอน ซึ่งมันเหนื่อยมากกกกกกก ผ่านไป 2 วัน เหมือนร่างกาย และจิตใจเราก็ยังปรับไม่ได้ ฟุ้งซ่าน เจ็บปวด ทรมานสังขารเหลือเกิน ดังนั้นช่วงเวลาแห่งความสุขเพียงช่วงเดียว คือเวลานอน ปกติคือ 5 ทุ่มถึงตี 4
ห้องนอนจะเป็นห้องเล็กๆ ส่วนตัว ของใครของมัน เราเลือกห้องที่อยู่ริมสุด เพราะจะได้มีหน้าต่าง 2 ด้าน ในห้องมีมุ้ง มีฟูก พื้นห้องปูเสื่อน้ำมันสีทึบ เข้ากับตัวอาคารไม้เก่าๆ และเพราะเป็นวัดที่อยู่กลางเขา อากาศจึงดีมาก มองออกไปจากหน้าต่างหลังห้องจะเป็นต้นมะขามสูงใหญ่ ถัดจากต้นมะขามไปก็เป็นป่า มองจากหน้าต่างด้านข้างก็จะเป็นบริเวณหน้าวัดมืดๆ บนปลอกหมอนสกรีนบทสวดชินบัญชรเอาไว้ด้วยนะ ปกติเราก็สวด แต่คืนนั้นไม่ได้สวด เพราะร่างพังมาก เลยคลุมโปงแล้วฟุบหลับ อากาศเย็นหลับสบายดี.. หลับไปสักพัก รู้สึกเหมือนมีคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง เราสะดุ้งตื่นมาดู แต่ก็ไม่มีใครเลยนอนต่อ.. หลับไปสักพัก ได้ยินเสียงคนเดินเท้าเปล่าเหยียบเสื่อน้ำมันข้างๆ มุ้ง ‘ซวบ ซวบ..’ เราลืมตาตื่นขึ้นมา แต่ไม่กล้าเปิดผ้าห่มออกไปดู เพราะรู้สึกว่าเสียงมันไม่ใช่จังหวะเดินแบบคนปกติ เสียงเหยียบเสื่อน้ำมันในห้องยังคงดังอยู่เรื่อยๆ เหมือนเดินวนไปวนมารอบห้อง ‘ซวบ ซวบ..’ เนิบช้า เหมือนคนที่เดินอย่างระมัดระวัง
คืนนั้นอากาศเย็นมาก แต่เรานี่เหงื่อโทรมตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม หัวใจเต้นรัวเหมือนกลองสองกระเดื่อง เรารวบรวมความกล้าอยู่พักใหญ่ เพื่อจะเปิดผ้าห่มออกมาดูให้เห็นกับตาไปเลย แต่ห้องกลับว่างเปล่า..ไม่มีอะไรเลย เงียบเชียบ แต่ความกลัวภายในใจเรานี่สิ กลับปะทุขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก!! เราตัดสินใจเดินออกไปหาเพื่อนที่ห้อง เรียกให้มันมานอนเป็นเพื่อน เพื่อนก็สะลึมสะลือเดินตามมา พอถึงห้องเรามันก็หลับต่อทันที อย่างน้อยเราก็อุ่นใจละ มีเพื่อน แต่ก็คลุมโปงนอนเหมือนเดิมนะ.. พอจะหลับเท่านั้นล่ะ ได้ยินเสียงคนเดินอีก คราวนี้อยู่ด้านนอกอาคาร เป็นเสียงเดินลากเท้ายาวๆ มาจากแถวลานหน้าวัด ค่อยๆ เข้ามาใกล้ขึ้นๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ข้างห้องเรา เสียงลากเท้าเงียบไป.. เราภาวนาให้ทุกอย่างจบลงสักที แต่ยังไม่ทันพ้นความคิด เสียงกลอนหน้าต่างข้างห้องดัง ‘ก๊องแก๊งๆ’ เหมือนมีใครมาจับเล่น ทั้งที่ห้องเราอยู่ชั้น 2 อะไรที่สูงพอจะจับถึงก็มีอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้นล่ะ ‘พุทโธๆๆๆๆ ไปไหนก็ไป ไป๊!’ เราไล่อะไรก็ตามแต่ที่มากวนเราด้วยอารมณ์โกรธปนกลัว
เสียงทุกอย่างเงียบลงไป แต่เรายังรู้สึกได้ว่ามีใครยืนนิ่งอยู่ข้างหลังหน้าต่าง มองเราอยู่ตลอดเวลา.. เราเริ่มภาวนาใหม่อีกครั้ง ในใจรู้สึกว่าไม่ถูกต้องที่ไปไล่เค้าแบบนั้น ‘พุทโธๆๆๆๆ’ เราภาวนาไป พร้อมกับนึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เราชอบที่สุด จู่ๆ ความรู้สึกกลัวทั้งหมดก็หายไปเฉยๆ เค้ายังยืนอยู่ที่หน้าต่างข้างห้องเหมือนเดิม เราลุกขึ้นมาเดินไปที่หน้าต่างหลังห้องที่มีแต่ป่า เราหลับตา ยกมือพนม และอธิษฐานว่า ‘ถ้าเราได้ทำอะไรผิดพลาดไป เราขอโทษทุกท่านในที่นี้ด้วย อโหสิกรรมให้ด้วยเทอญ..’ สิ้นเสียงอธิษฐานในหัว เราลืมตาขึ้นมา เห็นเงาดำๆ ตกจากต้นมะขามใหญ่หลังห้องดัง ‘ตุ๊บ’ ดังมากๆ แต่เราไม่กลัวแล้ว.. พอถึงเวลาตี 4 พระอาจารย์เรียกรวม ไปนั่งสมาธิรอบเช้า เราตั้งใจภาวนาอธิษฐานบุญให้กับพวกเขาทั้งหลาย และก็ได้รู้ว่า เช้าวันนั้นเป็นวันพระนั่นเอง..
Story by คุณณัฏฐ์