เรื่องนี้เป็นเรื่องยาว ส่งมาจากคุณเบย์ (นามสมมติ) ครับ คุณเบย์เล่าว่า.. สวัสดีค่ะ เรื่องที่เราจะเล่านี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานกว่า 20 ปี และยังคงเป็นไปอยู่ ก่อนอื่นเราขอเกริ่นพื้นฐานครอบครัวของเราก่อนนะคะ เพราะว่ามันเป็นเรื่องหลักที่จะต่อยอดไปยังเรื่องอื่นๆ ที่ได้เจอ ครอบครัวทางฝั่งพ่อของเราเป็นคนจีน อยู่กันแบบกงสี มีฐานะหน่อย พ่อเราถูกเลี้ยงมาแบบลูกคุณหนู วันๆ ไม่ต้องทำอะไร พื้นฐานนิสัยของพ่อเป็นคนพูดจาโผงผาง เจ้าคิดเจ้าแค้น ชอบว่า และข่มคนอื่น เลยเข้ากับใครไม่ค่อยได้ ขนาดคนในครอบครัวของพ่อเอง ยังไม่มีใครอยากพูดคุยด้วยเลย พ่อเราเคยเป็นเด็กช่างมาก่อน เค้าชอบเรื่องพวกไสยศาสตร์ มนต์ดำ และการเลี้ยงกุมาร พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนสมัยหนุ่มๆ ที่เป็นนักดนตรี พ่อเคยจุดธูปบอกกุมารว่า จำเป็นต้องซ้อมดนตรีในบ้าน เลยขอให้อุดหูทุกคนในบ้านเอาไว้ อย่าให้ได้ยินเสียงดัง แล้วคืนนั้นพ่อพาเพื่อนๆ มาซ้อมดนตรีกันในบ้าน แต่วันรุ่งขึ้น พ่อไปถามทุกคนดู ปรากฏว่าไม่มีใครได้ยินเสียงดนตรีเลยจริงๆ ทุกคนนอนหลับสบายดี เราก็ไม่ได้เชื่อสนิทใจ แต่มันก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่าพ่อเราสนใจในศาสตร์นี้จริงๆ ค่ะ
มาเข้าเรื่องกันเลยนะคะ แม่ของเราถูกจับแต่งงานกับพ่อด้วยเหตุผลบางอย่าง แล้วก็ย้ายเข้าไปอยู่บ้านพ่อ ตั้งแต่เราจำความได้ แม่เรามักจะมีอาการปวดหัว ท้องบวม และเรอทุกวันอย่างเป็นเวลา เช่นทุกๆ เย็น แม่เราจะเรอออกมาหลายๆ ครั้ง เหมือนคนเป็นโรคกระเพาะ หรือกรดไหลย้อน เจ็บตรงลิ้นปี่ และทรวงอกทุกเย็น แต่แม่เราไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเป็นโรคกระเพาะธรรมดา แต่มันแปลกตรงที่ว่ามันไม่เคยหาย และจะเป็นตรงเวลาทุกครั้ง.. ลืมบอกไปว่า พ่อกับแม่เราไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่ ไม่ค่อยพูดจากันด้วย พ่อตกงานตั้งแต่เราเกิด แม่จึงต้องหาเลี้ยงครอบครัวคนเดียว ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทั้งงานในบ้าน งานนอกบ้าน ทำให้ทางบ้านพ่อจากที่ไม่ชอบแม่ในทีแรก ยิ่งรักแม่เรามากขึ้น แต่มันกลับทำให้พ่อเรายิ่งไม่พอใจ
หลังจากนั้นพ่อก็ไปมีปากเสียงกับป้าเรา (พี่ของพ่อเอง) เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต พ่อเคยพูดกับป้าว่า ‘คนแบบนี้ ถึงตายก็ไม่เผาผี!’ แล้วหลังจากเหตุการณ์นั้น อยู่ๆ ป้าเราก็ป่วยกระทันหัน ทั้งๆ ที่ป้าเราไม่เคยเป็นอะไรมาก่อนเลย อายุก็ไม่ได้มากอะไร แล้วสุดท้ายป้าเราก็เสียไป.. หลังจากนั้นพ่อกับแม่ก็มีปากเสียงกัน เราไม่เคยเห็นแม่มีความสุขที่อยู่กับพ่อเลย สุดท้ายก็จบลงด้วยการเลิกรา แม่เราขอแค่สิ่งเดียวคือการได้ดูแลลูกๆ คือเรากับพี่ชาย อย่างอื่นแม่เราไม่เอาเลย พ่อโกรธแม่มาก แต่จำต้องยอมหย่าให้ เพราะแม่บอกว่าจะยกทุกอย่างให้ ไม่เอาอะไรไปเลย พ่อเราจึงยอมหย่า ทั้งๆ ที่เงินทุกบาททุกสตางค์ รถ ของต่างๆ เป็นของที่แม่เราหามาทั้งนั้น ช่วงแรกที่พ่อเลิกกับแม่ แม่ก็หนีออกไปเช่าห้องอยู่เอง แม่ยังไม่มีเงินมากพอที่จะพาเรากับพี่ไปอยู่ด้วย เลยให้เราอยู่ที่บ้านไปก่อน อย่างน้อยที่บ้านมีญาติๆ ก็ปลอดภัยกว่า จนกว่าแม่จะหาลู่ทางได้ แล้วจะมารับลูกทั้งสองคนไปอยู่ด้วย
ต่อมาพ่อเรามีปากเสียงกับป้าเราอีกคน เพราะว่าพ่อไปขอให้ป้าเราไปพาแม่เรากลับมา แต่ป้าไม่ยอม พ่อเราโกรธป้ามาก และว่าป้าเราเสียๆ หายๆ ไม่นานหลังจากนั้น ป้าเราคนนี้ก็เสียไปอีกคน.. หลังจากที่แม่ออกจากบ้านไป พ่อมักจะมีปากเสียงกับเราตลอด เพราะพ่อชอบด่าแม่เสียๆ หายๆ ให้เราฟัง เราก็จะเถียงกับพ่อ และทะเลาะกันทุกครั้ง พ่อหาว่าเรารักแม่มากกว่าพ่อ พ่อแสดงออกชัดเจนว่าเกลียดแม่มาก ห้ามเราไม่ให้ไปเจอแม่ ห้ามเราโทรหาแม่ ช่วงนั้นเรากับพ่อเลยไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่ หลังจากนั้นมาเราก็เริ่มป่วย ทั้งที่ร่างกายเราแข็งแรงมาก อยู่ๆ เราก็เป็นไทรอยด์เป็นพิษ แพ้คาร์โบไฮเดรต เจ็บป่วยง่าย เป็นแทบทุกโรค เรากลายเป็นคนที่ป่วยออดๆ แอดๆ มาตลอด จนเราเข้ามหาวิทยาลัย เราได้ออกไปอยู่หอพัก พอวันหยุดเราแอบไปหาแม่ แต่คราวนี้พอพ่อเรารู้ว่าเราไปหาแม่ พ่อกลับไม่โกรธเรา แถมยังฝากของกินไปให้แม่ แล้วกำชับเราว่า อย่าลืมให้แม่กินล่ะ เราเองก็ไม่ได้เอะใจอะไรเลย เราดีใจด้วยซ้ำที่พ่อยอมให้เราเจอแม่ แถมยังฝากของกินมาให้แม่อีกด้วย เหตุการณ์ก็เป็นอย่างนี้เรื่อยมาหลายปี
จนมีอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากเราเรียนจบ เรากับแม่จะเปิดร้านอาหารด้วยกัน เราก็โทรบอกพ่อว่า เนี่ยเรากับแม่จะเปิดร้านอาหารตรงนี้นะ ใกล้กับมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง พ่อเราพูดสวนกลับมาว่า จะขายได้ยังไง เปิดแล้วก็เจ๊ง เดี๋ยวก็ขายไม่ได้ พอพ่อพูดเสร็จ เรากับพ่อก็เงียบ แล้วพ่อก็ตัดสายไป.. หลังจากที่เราเปิดร้านได้ไม่นาน อยู่ๆ พ่อเราก็มาที่ร้านโดยไม่ได้บอกใครก่อน ซึ่งมันผิดสังเกตมากๆ เพราะพ่อเกลียดแม่มาก ไม่น่าจะยอมมา เค้ามานั่งกินข้าวสักพัก แล้วก็แอบไปทำอะไรอยู่หน้าร้านก่อนกลับก็ไม่รู้ แล้วหลังจากที่พ่อเรากลับไป ร้านเราก็แทบจะไม่มีลูกค้าอีกเลย จนสุดท้ายเราก็ต้องปิดร้านไปในไม่ช้า.. หลังจากนั้นไม่นาน แม่เราก็มีแฟนใหม่ เราเรียกเค้าว่าป๊า (ซึ่งป๊าเคยเป็นแฟนสมัยเรียนของแม่ แต่งงานมีครอบครัวแล้ว และก็เลิกราไปแล้ว) และแม่ก็ไปอยู่บ้านใหม่ใกล้กับญาติๆ ฝั่งแม่ แต่เรายังเรียนอยู่ก็เลยอยู่หอพักเป็นส่วนใหญ่ ก็จะมีไปๆ มาๆ บ้านพ่อกับบ้านแม่สลับกัน ซึ่งพอเจอพ่อ เราก็จะได้ของกินติดมือกลับไปฝากแม่เหมือนทุกครั้ง
จนมาถึงวันสำคัญวันหนึ่ง วันที่คุณยายของเราเสีย พ่อเราดันมางานศพคุณยายด้วย แล้วหลังจากงานศพ ญาติๆ ก็จะไปรวมตัวกันที่บ้านแม่ต่อ (ช่วงนั้นเราย้ายมาอยู่บ้านแม่แล้ว) ลุงเราก็ดันพลั้งปากไปชวนพ่อไปกินเหล้าที่บ้านแม่ ปกติพ่อเราศักดิ์ศรีเค้านี่ใหญ่ค้ำฟ้า ไม่มีทางมาเหยียบบ้านแม่เราแน่ แต่ว่าเค้าดันตอบตกลงทันทีที่ลุงชวน ลุงเรานี่หน้าเสียเลย เพราะไม่คิดว่าพ่อจะตอบตกลง เลยต้องยอมพาพ่อมากินเหล้าที่บ้านจนได้ แต่พอพ่อเข้ามาในบ้านแม่ เค้ากลับไม่นั่งรอเหล้า รีบเดินปรี่เข้าไปในบ้าน แอบเอาอะไรก็ไม่รู้ทิ้งไว้ตรงข้างต้นไม้ แล้วพอเค้าเดินออกมา ก็บอกว่าไปร้านเหล้ากันเถอะ คือการกระทำของพ่อมันประหลาดมาก..
หลังจากนั้นก็มีเรื่องราวแปลกๆ เกิดขึ้นในบ้านค่ะ เรามักจะได้ยินเสียงเรียกเป็นเสียงของแม่เราบ้าง พี่เราบ้าง แต่พอขานรับกลับไม่มีใครอยู่ในบ้านซะอย่างนั้น จนเราคิดว่าเราหูฝาดไปเอง และก็จะชอบได้ยินเสียงคนเดินรอบบ้านกลางดึก เดินลากของบ้างก็มี ที่สำคัญ แมวของเราก็ทยอยตายไปทีละตัวๆ โดยที่อาการของมันจะเหมือนกันหมด คือค่อยๆ หมดแรง เดินไม่ได้ หายใจไม่ออก ท้องบวม และตายในที่สุด จนเรากับแม่ตัดสินใจไม่เลี้ยงสัตว์อีกต่อไปแล้ว.. แม่เราก็เริ่มป่วยหนัก จากที่ก็ป่วยออกๆ แอดๆ อยู่แล้ว ไปหาหมอ หมอก็บอกว่าแม่เราไม่ได้เป็นอะไร จะจัดยาให้ก็จัดไม่ถูก จนนานเข้า เพื่อนแม่เลยแนะนำให้แม่ลองไปรักษากับอาจารย์ท่านหนึ่ง เราไม่รู้ว่าจะเรียกยังไง แต่อาจารย์ท่านรักษาทั้งโรคปกติ และโรคภัยที่มาจากมนต์ดำทั้งหลายค่ะ
หลังจากที่แม่เราได้ไปรักษาทุกวันๆ แม่ก็ได้รู้อะไรเพิ่มหลายอย่าง ท่านพาแม่เราไปทำบุญตลอด เพราะท่านบอกว่า ถ้าไม่หมั่นทำบุญ เทพเค้าจะไม่เปิดให้เห็นกรรม หลังจากนั้นแม่ก็พาเรากับพี่ชายไปทำบุญอยู่ตลอด จนเหมือนทุกอย่างเปิดทาง วันหนึ่ง อาจารย์ถามแม่เราว่า ‘เคยไปทำให้ใครเกลียด จนเค้าอยากจะฆ่าเราให้ตายบ้างไหม?’ แม่เราก็บอกว่า ไม่เคยมีใครที่ทะเลาะด้วยขนาดนั้น อาจารย์ท่านบอกว่า ท่านเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ไม่สูงมาก รูปร่างท้วม ผิวดำแดง เค้าคนนี้ล่ะ ที่เป็นคนทำของใส่พวกเรามาโดยตลอด 20 กว่าปี ของที่ว่านี้ ทั้งใส่ในอาหารให้กินเข้าไป และทั้งทำของใส่บ้าน ใส่หลายๆ อย่าง ตอนแรกแม่เราไม่แน่ใจ เพราะการที่จะไปกินอาหารของคนแปลกหน้านั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่พอนึกไปนึกมา แม่เลยตัดสินใจกลับมาเอารูปของพ่อไปให้อาจารย์ท่านดู แม่ยังไม่ทันยื่นรูปถึงมืออาจารย์เลย อาจารย์บอกว่าไม่ต้องดูแล้ว เห็นแล้วล่ะว่าใช่เค้าแน่ๆ อาจารย์ถามว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร? เคยไปทำอะไรให้เค้า? เค้าถึงได้จ้องจะเอาชีวิตเราขนาดนี้? ที่เค้าทำ เค้ากะให้เราตายเลยนะ แม่ก็เลยตัดสินใจเล่าเรื่องพ่อให้ฟัง แต่พอแม่รู้เรื่องนี้ แม่ก็ไม่ได้มาบอกเรากับพี่นะ เพราะแม่ไม่อยากให้เราเกลียดพ่อ มันจะทำให้เรากับพี่บาป และอีกอย่าง แม่คงอยากจะแน่ใจให้มากกว่านี้ด้วย ว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่า? (สรุปแล้วแม่เราก็เก็บเรื่องที่พ่อทำของเอาไว้คนเดียว)
ในระหว่างที่แม่เราตามสืบเรื่องนี้ ก็มักจะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับพวกเราเสมอ โดยเฉพาะกับเราเอง จำได้ว่ามีคืนหนึ่ง เรานอนเล่น iPad อยู่กับพื้น แสงไฟนีออนจากเพดานในห้องมันสะท้อนกับ iPad ของเรา ขณะที่เราปรับระดับให้เอนเข้าหาเราอีกหน่อย แต่สิ่งที่เราเห็นสะท้อนในจอ มันกลับไม่ใช่ราวแขวนเสื้อผ้าเหมือนทุกที เราเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังเรา ใบหน้าพวกเค้าขาวโพลนไปหมด และช่วงเบ้าตาก็ดำสนิท มีทั้งเด็กหญิงเด็กชาย หญิงสาวชายหนุ่ม และคนแก่ เราได้แต่หยุดหายใจไปพักนึงด้วยความช็อค จากนั้นก็พยายามเพ่งมองอีกรอบ เพราะคิดว่าน่าจะตาฝาดไปเอง แต่มองอีกรอบก็ยังยืนอยู่ครบเหมือนเดิม! เราเลยคิดซะว่า ช่างแม่ง! อยากยืนก็ยืนไป แต่ใจเรานี่เต้นตึกๆๆๆ รีบโทรหาแม่ให้กลับบ้านไวๆ เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว แล้วก็รีบโดดไปนอนคลุมโปง.. พอคืนถัดมาเราตื่นขึ้นมากลางดึก (คือหลังจากที่เราป่วย เราไม่เคยนอนเต็มอิ่มอีกเลย รู้สึกอิดโรยตลอดเวลา ง่วงตอนกลางวัน แต่พอตกกลางคืนกลับนอนหลับๆ ตื่นๆ) แสงไฟจากข้างนอกสาดเข้ามากระทบผนัง แล้วลอดเข้ามาทางห้องน้ำที่อยู่ปลายเท้าเรา เราเห็นเป็นหัวใครสักคนพาดอยู่บนขอบประตูห้องน้ำ ซึ่งมันสูงมาก บอกตรงๆ เราได้แต่ช็อค ขนนี่ลุกตั้งแต่หัวยันเท้า และที่สำคัญ มันมีแค่หัว เราได้แต่คิดในใจว่า ‘เราไม่เห็นอะไรเลย ไม่เห็นจริงๆ’ ท่องอยู่แบบนี้เหมือนคนบ้า จนเราผลอยหลับไป
พอเราเจออะไรแบบนี้บ่อยๆ เข้า จนเรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เพราะมันเจอถี่เกินไป ลำพังเสียงเรียกเรายังพอทนนะ แต่มาแบบนี้ติดๆ กันเราก็ไม่ไหว เราเลยไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง และด้วยอาการป่วยของเราที่มากขึ้น เราไม่สามารถไปทำงานที่ไหนได้เลย บางช่วงเราท้องใหญ่เหมือนคนท้อง 6 เดือน ต้องเรอออกมาตลอด มีอาการมึนงงตลอดเวลา ทานข้าวก็แทบไม่ได้ น้ำหนักลดลงเรื่อยๆ ชีวิตพังมาก แม่เลยตัดสินใจว่า วันหนึ่งจะลองพาเราไปรักษากับอาจารย์ท่านนี้ด้วย
แต่มีครั้งหนึ่งที่แม่เราไปรักษา อาจารย์ท่านเตือนแม่ว่า ให้ระวังพ่อเราจะส่งของสิ่งหนึ่งมาให้ ห้ามรับ และให้ทิ้งไป เพราะนั่นคือของไม่ดี อาจารย์บอกแม้กระทั่งวัน และเวลาที่เค้าจะส่งมาให้ พอแม่กลับบ้านไป ตรงตามวันที่อาจารย์ท่านบอกแบบเป๊ะๆ พ่อเราได้ส่งพระพุทธรูปมาให้แม่ ผ่านทางพี่ชายของเรา พี่ชายไปเจอพ่อมา พ่อเลยฝากมาให้แม่ แม่กับป้าที่อยู่ด้วยกันตรงนั้นก็ทำหน้าเหวอ (เพราะแม่กับป้ารู้เรื่องที่อาจารย์ท่านเตือนไว้) ก็เลยไม่มีใครกล้ารับ เพราะพี่ชายบอกว่าพ่อฝากมาให้แม่ ส่วนเราที่อยู่ในบ้านไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย อยู่ๆ ก็เดินดุ่มๆ ออกไปเห็นเค้าเถียงกัน ไม่มีใครรับของ เราเลยบอกว่า ‘เถียงอะไรกันเนี่ย ถ้าไม่มีใครรับเบย์รับเองก็ได้ พระพุทธรูป จะให้ทิ้งเหรอไง?’ แล้วเราก็รับมา..
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เราเปิดร้านอาหารกับแม่เป็นครั้งที่สอง เปิดที่บ้านของแม่เราเองเลย เราจำได้แม่นมากเป็นวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่เราจำได้ เพราะหลังจากวันนั้นวันเดียว เราก็ไม่สามารถเดิน นั่ง หรือนอนได้ตามปกติอีกเลย เราป่วยหนักมาก อาการเหมือนคนที่เป็นกระดูกทับเส้น ไปหาหมอหมอก็บอกว่าปกติดี แต่แม่เราคิดว่าต้องเป็นเพราะพระที่เรารับมาแน่ๆ แม่จึงพาเราไปหาอาจารย์ อาจารย์ท่านบอกเราว่า มีคนทำของมาใส่ไว้กับพระ ใครเป็นคนรับมันก็เข้าคนนั้นทันที เราเลยต้องไปรักษากับอาจารย์อยู่เกือบ 6 เดือน เราทุกข์ทรมานทำอะไรก็ไม่ได้อยู่เกือบปี กว่าจะเข้าที่เข้าทางจนกลับมาเกือบปกติ.. แค่นั้นไม่พอ หลังจากที่แม่เปิดร้านอาหารที่บ้าน พอพ่อรู้ เค้าก็แอบมาด้อมๆ มองๆ แถวบ้านแม่เราอยู่เป็นประจำ แต่แปลกตรงที่พ่อชอบแอบมาดูตอนกลางคืน ไม่ให้ใครเห็น แม่บังเอิญเห็นพ่อแอบเอาอะไรมาทิ้งไว้ที่ท่อหน้าบ้าน หลังจากนั้น ร้านเราก็ขายไม่ดีอีกเลย ทั้งๆ ที่ตอนแรกขายดีมากๆ ได้วันละหลายหมื่น กลับเหลือแค่วันละ 300 บ้าง 400 บ้าง เคยถามลูกค้าที่สนิทกันว่า ทำไมไม่มาที่ร้านบ้างเลย? เค้าก็บอกว่า ‘บางวันก็เห็นปิดร้าน บางวันก็เห็นคนแน่นไปหมด..’ ทั้งที่ความจริงร้านแทบไม่เคยปิดเลย ส่วนวันที่ลูกค้าบอกว่าคนแน่น ก็เป็นวันที่แทบจะไม่มีคนเลยด้วยซ้ำ
เมื่อทุกอย่างมันหนักหนาสาหัสมาก สุดท้ายแม่จึงยอมมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พี่ชายกับเราฟัง ว่าทั้งหมดนี้พ่อเป็นคนทำของไม่ดีใส่พวกเรา แม่พาเรากับพี่ไปหาอาจารย์ อาจารย์ท่านเลยเล่าให้ฟังทั้งหมด ว่าพ่อทำของ เป็นของจากสุพรรณฯ มีทั้งผสมในกับข้าวหรือของกินอื่นๆ แล้วฝากมาให้พวกเรากินตลอดที่ผ่านมา ไหนจะพระเครื่องที่เคยให้เราคล้องคอ บอกว่าห้ามถอด ก็ทำของใส่ ซึ่งพอถอดกรอบเลี่ยมออกมา ก็เห็นมีคราบน้ำมันเหนียวๆ ดำๆ อยู่จริงๆ ไหนจะส่งผีมารบกวน ที่ได้ยินมาเรียกชื่อ ถ้าขานรับมันก็จะเข้ามาในบ้านได้ทันที ซึ่งเราก็ขานรับตลอด.. ประจวบเหมาะกับลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งพ่อของเรา ก็ได้มาเล่าให้เราฟังว่า พ่อเราเมาแล้วเผลอพูดออกมาว่า แม่เราคงไม่กลับมาแล้วล่ะ เพราะว่าของมันคงจะเสื่อมแล้ว! คือทุกๆ อย่างมันค่อยๆ บอกพวกเราทีละนิดว่า พ่อคือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ตลอดมา โยงไปถึงช่วงที่แม่เราแต่งงานกับพ่อ ก็เพราะพ่อทำของใส่แม่เราด้วย เพราะพ่อเราเป็นคนที่ไม่ยอมน้อยหน้าใคร อยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่พ่อจีบแม่เราไม่ติด พ่อเลยทำของใส่ (ซึ่งตอนนั้นแม่เราเป็นแฟนกับป๊าเราตอนนี้ ทั้งคู่เลยต้องเลิกกัน เพราะแม่โดนทำของไปแต่งงานกับพ่อ) เรื่องทุกอย่างเริ่มปะติดปะต่อชัดเจน อาจารย์ท่านก็บอกว่าท่านก็ช่วยได้แค่นี้ แต่ถ้าเรายังรับของจากพ่อเข้ามา อาจารย์ก็ช่วยให้ดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้ เปรียบเหมือนน้ำเต็มตุ่ม อาจารย์ตักออก แต่พ่อเติมเข้ามาใหม่ มันก็ไม่หมดไปเสียที
สุดท้ายพวกเราแม่ลูกจึงตัดใจเลิกติดต่อกับพ่ออย่างเด็ดขาด เพราะถ้าเรายังติดต่ออยู่ เค้าก็จะส่งของพวกนี้มาเรื่อยๆ พวกเราย้ายไปเช่าบ้านอยู่ชานเมืองโดยที่ไม่ได้บอกใคร เพื่อไม่ให้ใครรู้ และติดต่อเราได้ แม่เรา และตัวเราเองก็ยังป่วยมากจนไม่สามารถทำงานอะไรได้ ส่วนพี่ชายเราก็ป่วย แต่ยังดีที่แกยังแข็งแรง บ้านที่ย้ายมาใหม่ อยู่ใกล้กับบ้านของอาจารย์ท่านนี้ กิจวรรตของพวกเราที่ต้องทำแทบทุกวัน คือต้องไปถอนของกับอาจารย์ และทำบุญคืนให้อาจารย์ เพราะเหมือนเรายืมบุญของท่านมาก่อน และทุกครั้งที่ถอนของ เราจะเรอกันไม่หยุด มีลมในท้องตลอดเวลา หรืออย่างแย่มากๆ ก็จะอาเจียนออกมาเป็นเลือด เป็นลิ่มบ้าง บางครั้งก็มีก้อนผมออกมาด้วย ตอนนี้เราก็รักษามาจะครบอีกปีแล้ว ส่วนแม่เราจะเข้าปีที่ 3 แล้ว อาการก็ดีขึ้นมากๆ ตอนนี้เรากลับมาเดินได้ นั่งได้ นอนได้แล้ว แต่ทุกวันโกน และวันพระ เราก็จะมีอาการออกมากันทุกคน คือท้องโต หายใจลำบาก บางคืนก็จะนอนไม่ได้เลย.. ถึงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่หายขาด แต่ก็ถือว่าดีขึ้นมากค่ะ จริงๆ แล้วมีรายละเอียดอีกเยอะมากกกกก แต่ถ้าให้เล่าหมดคงยาก เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาตลอด 20 ปีกว่าค่ะ
* ที่ผ่านมา เราได้ลองไปหาอาจารย์ด้านไสยศาสตร์ และโหรศาสตร์ท่านอื่นๆ เท่าที่จะหาได้มาบ้าง ท่านบอกออกมาตรงกันว่า แบบนี้คือโดนของ โดนกันทุกคน แม่ เรา และพี่ชาย เหมือนมีควันดำปกคลุมดวงเราอยู่ตลอด จะคอยเล่นงานตอนเราดวงตก หรืออ่อนแอ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ บางท่านถึงกับบอกว่า แม่เราดวงแข็งมาก เป็นคนอื่นไม่น่าจะรอดมาได้ถึงตอนนี้
* ล่าสุดเราได้รู้มาว่าพ่อเราป่วย โดยที่มีอาการเหมือนกับที่พวกเราเป็น อาจารย์ท่านว่าของเข้าตัวพ่อ แต่อาจารย์ว่า พ่อเราจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง แต่ถ้าพวกเรารักษาหายดีได้ โดยที่ไม่รับของไม่ดีมาเพิ่มอีก พวกผีที่ส่งมายังสามารถป้องกันได้
* พี่ชายเล่าว่า ปกติพ่อจะใช้ให้ขับรถไปส่งที่นั่นที่นี่ เพราะพ่อจะขี้เกียจ ไม่อยากทำอะไรเอง แต่ก็มีบ่อยๆ ที่พ่อชอบออกไปไหนเอง เมื่อพ่อไม่อยากให้ใครรู้ และพ่อก็เคยจ้างรถไปสุพรรณฯ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าแกไปทำอะไร..
Story by คุณเบย์ (นามสมมติ)