เรื่องนี้ส่งมาจากคุณ มิสเตอร์แคท (นามสมมติ) ครับ คุณมิสเตอร์แคทเล่าว่า.. เรื่องที่จะเล่านี้เราไม่ได้เจอด้วยตัวเองโดยตรง แต่เราอยู่ในเหตุการณ์ค่ะ ย้อนไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่จังหวัดกาญจนบุรี กลุ่มเพื่อนเรามี 6 คน (รวมเราด้วย) วันที่เกิดเหตุ เรากับเพื่อนในกลุ่มคุยในแชทว่าตอนเย็นจะไปกินหมูกะทะ MT กัน คุยกันเรียบร้อยเสร็จสรรพ เราก็ทำงานบ้านอะไรของเราไป พอถึงเวลาก็อาบน้ำเตรียมตัว และขี่มอเตอร์ไซค์ไปรอที่จุดนัดพบ ก็คือศาลาใกล้ๆ สี่แยกตรงป้อมตำรวจทางขึ้นไปบ้องตี้ ปกติเราไม่มาเส้นทางนี้กันหรอกค่ะ แต่เพราะว่าช่วงนั้นมีข่าวถีบรถขโมยของแล้วฆ่า ใกล้ๆ กับทางที่เราไปกันเป็นประจำ จึงต้องมาอีกทางนี้
พอมากันครบ พวกเราขี่รถกันมา 3 คัน คันละ 2 คน ระหว่างทางไปไม่มีบ้านคน พวกเราก็ตะโกนคุยกันเฮฮาปกติ พอมาสักพัก ก็เจอศาลเก่าๆ ที่ถูกเอามาทิ้งไว้เรียงเป็นทางยาวเต็มไปหมดเลยค่ะ แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร เราเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านเท่าไหร่ เลยไม่รู้ว่าพอเห็นศาลแล้วเค้าต้องบีบแตรกัน ทีนี้เพื่อนเราคันอื่นมันก็บีบแตรค่ะ ไอ้เราก็คิดว่าบีบแตรเล่นกัน เลยบีบแตรกลับบ้างเป็นจังหวะสามช่าเลยค่ะ ขาไปก็ไม่มีอะไร พอถึงที่หมายเราก็กินกัน คุยกันสนุกสนาน กินเสร็จราว 3 ทุ่มจ่ายเงินแล้วก็ขี่รถกลับกันทางเดิม.. บอกก่อนว่า เพื่อนคนที่ซ้อนท้ายเราชื่อ บี (นามสมมติ) เป็นคนมีเซ้นส์แรง เพื่อนๆ รู้ดี ก็ขี่ตามกันไป 3 คัน เรากับบีอยู่คันสุดท้าย ตอนนั้นเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ ถนนนี่มืดสนิทแล้วค่ะ พอมาถึงตรงที่มีศาล เพื่อนเราคันหน้าก็บีบแตร แต่เราไม่ได้บีบค่ะ เพื่อนคันหน้าก็หันหน้ามาทางเราแล้วชี้ๆ ไปที่ศาล เราก็งงว่าชี้ทำไม? เราพยายามชะลอรถให้ช้าลง เพราะไม่ได้ยินเสียงเพื่อน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้ยินเพราะลมแรง มันก็ชี้ๆ แล้วก็พูดๆ ไปเรื่อย ทำหน้าแบบมึงบีบแตรสักทีสิอี.. แต่เราก็ไม่รู้เรื่องแล้วไม่ได้บีบแตร ยังไม่ทันพ้นศาล บีที่ซ้อนหลังเราก็ร้องไห้ และกอดเราอย่างเร็ว จนเราสะดุ้ง เราที่พอรู้ว่าเพื่อนเป็นอะไร จึงต้องตั้งสติขี่รถมองทางข้างหน้าแล้วบอกบีว่า ‘ใจเย็นๆ มึงอยู่กับกูไม่เป็นไร..’ แต่บีก็ยังร้องอยู่แบบนั้น แล้วกลับร้องหนักมากขึ้น พร้อมกับกอดเราแน่นขึ้น เราเลยบิดให้ออกมาจากทางนั้น แล้วเลี้ยวขวายาวไปสักพัก จนไปแวะที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง
พอจอดรถกัน เราก็ปลอบบีอยู่สักพักจนบีเริ่มโอเค เราเลยถามบีว่าเห็นอะไร? บีก็ส่ายหน้าไม่พูด แต่ยังสะอื้นอยู่ค่ะ เราเลยบอกเพื่อนๆ ว่า งั้นไปตลาดตรงวงเวียนกันก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกที เราก็ค่อยๆ ขี่กันไปซ้อนกันคู่เดิมค่ะ ไปสักพักจนผ่านตรงป้อมตำรวจอีกที บีก็เริ่มร้องไห้อีกรอบ และกอดเรา คราวนี้แล้วเอาหน้ามามุดหลังเรา เรารู้เลยรีบขี่ออกมาให้ไวที่สุด จนมาถึงตลาดตรงวงเวียน พากันจอดรถแล้วหาที่นั่งกัน เรากอด และปลอบบี ถามบีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? บีบอกว่า ย้อนไปตอนที่เพื่อนคันหน้าชี้ศาล สักพักบีก็เห็นผู้หญิงผมสั้นหน้าเละๆ อาบเลือด ใส่ชุดผ้าถุงสีเขียวลายดอกยืนอยู่ข้างทาง ก้มหน้าแต่เอียงหน้ามาทางบี บีบอกอีกว่า แต่ถึงจะขับเลยไปเท่าไหร่ เธอคนนั้นก็จะมายืนอยู่ตรงทางข้างหน้าอีกเรื่อยๆ เรากับเพื่อนที่ฟังก็มองหน้ากัน ขนลุกเลยค่ะ บีบอกต่อว่า ตอนจอดพักที่ร้านค้า พอออกจากร้านค้ามาถึงป้อมตำรวจ บีก็เห็นผู้หญิงคนเดิมโผล่มาเรื่อยๆ อีก!! บีเล่าไปก็เริ่มร้องไห้อีก เราเลยเข้าไปปลอบ เพื่อนๆ ที่เหลือก็เหมือนจะกลัวกัน ก็ร้องไห้ด้วย มีแค่เราที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ว่ามันเริ่มดึกแล้วประมาณ 4 ทุ่ม คงต้องรีบกลับบ้าน
พวกเราตกลงกันว่าจะกลับด้วยกันโดยไปที่บ้านของเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มก่อน เป็นทางขึ้นเขา ขับไปสักพักนึงก็ถึงบ้านเพื่อนคนนี้ พวกเราจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่เพื่อนฟัง แม่เพื่อนได้ยินก็เรียกบีให้มานั่งใกล้ๆ แล้วแม่เพื่อนก็เริ่มสวดอะไรสักอย่าง เป็นภาษาอะไรเราไม่แน่ใจ แล้วบีก็เริ่มร้องไห้อีกรอบ เราเห็นก็สงสารบีอยากกอดบีมาก พอแม่เพื่อนสวดเสร็จ แม่ก็บอกไม่เป็นอะไรแล้วนะ เดี๋ยวรอพ่อกลับมาแล้วจะพาไปส่ง มันอันตราย พอพ่อเพื่อนกลับมา เขาก็ยกรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นรถยนต์ แล้วขับไปส่งบ้าน.. พอวันถัดมาหลังจากเลิกเรียน พวกเราก็ไปทำบุญที่วัดด้วยกัน และก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกจนถึงตอนนี้.. ซึ่งเราก็คงไม่สามารถรู้ได้ว่าเธอคนนั้นเป็นใคร? ไม่พอใจอะไร? ทำไมต้องมาหลอกเพื่อนเรา..
Story by มิสเตอร์แคท (นามสมมติ)