เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ส่งเข้ามาจากคุณเมย์ครับ คุณเมย์เล่าว่า.. ย้อนไปตอนเมย์อยู่ ม.2 นะคะ เมย์เป็นลูกทหาร ต้องขึ้นรถบัสรับ-ส่งของทหารไปเรียน ซึ่งเมย์ก็จะมีเพื่อนๆ ที่เป็นลูกทหาร อยู่บ้านทหาร และต้องนั่งรถบัสทหารไปเรียนเหมือนกันหลายคน.. มีอยู่วันหนึ่ง เมย์เลิกเรียนก็ขึ้นรถบัสทหารกลับบ้านตามปกติ เมย์นั่งเบาะด้านหลังคนขับ ชิดด้านในติดหน้าต่างเลย วันนั้นนั่งไปสักพัก เพื่อนในกลุ่มเมย์คนนึงก็มาชวนให้ลงรถ เพราะเพื่อนคนนี้ต้องเรียนพิเศษตอนเย็นในตัวเมืองวันแรก เลยจะให้เมย์รอกลับเป็นเพื่อน เมย์ก็ตกลงค่ะ พอเมย์กับเพื่อนลงจากรถไป เพื่อนอีกคนที่นั่งข้างเมย์ชื่อ ‘ศุภาง’ ก็เขยิบไปนั่งแทนที่เมย์ เพราะปกติเมย์กับศุภาง จะแย่งกันนั่งริมหน้าต่างหลังคนขับเป็นประจำค่ะ..
เมย์นั่งเล่นรอจนเพื่อนเรียนพิเศษเสร็จ ก็พากันมายืนรอรถโดยสาร ตอนนั้นเอง ก็มีเสียงหวอของรถตำรวจผ่านหน้าไป มุ่งหน้าไปทางโรงพยาบาลประจำอำเภอ คือ โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นน่ะค่ะ เมย์เลยถามลุงตำรวจที่ยืนโบกรถอยู่ตรงนั้น ว่าเกิดอะไรขึ้น? ลุงตำรวจบอกว่า ‘รถบัสทหารถูกรถพ่วงที่สวนมาชนตกข้างทาง รถพ่วงแซงไม่พ้น เลยหักหลบรถที่สวนมา มากระแทกรถบัสทหาร..’ ซึ่งจากที่เมย์รู้ตอนนั้นคือ รถพ่วงกระแทกเข้ามาฝั่งที่เมย์นั่งเลยค่ะ ผลคือ ศุภาง เพื่อนที่นั่งแทนที่เมย์ ถูกพ่วงหลังของรถพ่วงกระแทกตายคาที่ อุบัติเหตุครั้งนั้น มีคนเสียชีวิตแค่คนเดียวเท่านั้นด้วยค่ะ.. ตอนนั้นเมย์ร้องไห้โฮ ร้องเหมือนคนบ้าเลยค่ะ คือเหมือนเพื่อนตายแทนเมย์ ถ้าเมย์ไม่ลงจากรถมา เมย์ก็คงต้องตาย.. เมย์นั่งรถโดยสารกลับบ้านทั้งน้ำตา พอมาถึงบ้าน มีคนเอากระเป๋านักเรียนที่ฝากไว้บนรถมาคืน ซึ่งมีแต่คราบเลือดเต็มกระเป๋า แม่เมย์รีบโยนทิ้งเลย..
จากนั้นไม่นาน เหตุการณ์แปลกๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น ในคืนงานศพของศุภางคืนที่ 2 เป็นวัดในเขาค่ะ เงียบ และเปลี่ยวมากๆ เมย์ไปกับแม่ ยอมรับเลยว่ากลัวมาก ในงานเมย์เจอพ่อของศุภาง แกบวชเป็นพระเลยค่ะ.. พอพระเริ่มสวด เมย์จำไม่ได้ว่าถึงช่วงไหน อยู่ๆ ก็มีลมแรง มีกลิ่นเหม็นแปลกๆ แล้วไฟก็ดับเลย อารมณ์เหมือนหนังผีที่เคยดูยังไงยังงั้น เมย์กระโดดกอดแม่ร้องไห้เลย คือตอนนั้นยังเด็ก กลัวมากๆ ค่ะ แต่สักพักไฟก็มา และพอสวดเสร็จกลับบ้านก็ไม่มีอะไร
หลังจากนั้น ที่บ้านทหารค่ะ ลักษณะบ้านทหารจะเป็นห้องแถวติดๆ กัน บ้านศุภางจะอยู่ห้องแถวถัดไปจากบ้านเมย์ ศุภางเป็นคนชอบตีขิมมาก และอยู่วงดนตรีไทยที่โรงเรียน น้าข้างบ้านที่ต้องตื่นมาขายของตอนตี 3 ตี 4 เล่าให้ฟังว่า ‘ตื่นมายังได้ยินเสียงตีขิมทุกคืน เหมือนตอนที่ศุภางยังอยู่!’ ทั้งที่ในบ้านศุภางไม่มีคนอยู่แล้ว พ่อบวชอยู่ แม่ก็เสียไปแล้ว ส่วนน้องสาวก็ถูกส่งตัวไปอยู่กับญาติ เมย์กับแม่พอได้ฟังก็ขนลุกค่ะ เหมือนที่เค้าเรียกว่าตายโหง มักจะไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว..
จนคืนก่อนเผาค่ะ เมย์ขอให้แม่พาไปงานเผาวันพรุ่งนี้ คืออยากไปส่งเพื่อน.. คืนนั้น เมย์นอนหลับฝันว่าศุภางมาหา ตรงที่รอขึ้นรถบัสทหารไปโรงเรียนทุกเช้า ศุภางก็พูดคุยกับเมย์ปกตินะคะ แต่จะก้มหน้าตลอด แล้วก็เดินขึ้นรถไป.. ตื่นมาตอนเช้า เมย์เล่าให้แม่ฟังว่าศุภางมาหาในฝัน แม่ก็คงกลัว เลยเอาสร้อยพระให้เมย์ใส่ไปโรงเรียน.. พอถึงตอนเย็น แม่ก็มารับไปงานเผาศพค่ะ เมย์ก็ได้ขึ้นไปดูตอนเค้าเปิดโลงค่ะ เมย์เห็นแล้วถึงกับช็อคเลย! จะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก คือสภาพศพของศุภาง ไม่มีหน้า! เป็นหลุมยุบลงไปเลยค่ะ แล้วมีผ้าก๊อซพันรอบศีรษะไว้เลย ภาพติดตามากๆ.. ในงาน เมย์ได้เจอคุณอาทหารคนขับรถวันที่เกิดเหตุ แกแค่แขนหักเท่านั้นเอง เลยงงว่าทำไมศุภางถึงตายคนเดียว? คุณอาทหารคนขับรถเล่าให้ฟังว่า ‘ส่วนที่เป็นพ่วงของรถบรรทุกพุ่งเข้ามาตรงด้านหลังที่นั่งคนขับ ซึ่งตรงกับที่ศุภางนั่งพอดี หน้าเละหมดเลย ลูกตาของน้องเค้าก็ยังหาไม่เจออีกข้างหนึ่ง..’
เมย์ก็คิดในใจถึงเรื่องในฝันเมื่อคืน ว่านี่คงเป็นสาเหตุที่ศุภางก้มหน้าตลอดที่มาเข้าฝัน.. เมย์ได้แต่ยืนกอดแม่ร้องไห้ ขอให้ศุภางไปสู่สุขติ แล้วก็ต้องขอบใจนะคะ ที่ไม่เอาหน้าเละๆ มาให้เมย์เห็น.. เรื่องนี้นานมากแล้วค่ะ ตอนนี้เมย์อายุ 32 แล้ว แต่ก็ยังจำได้ไม่ลืมเลยจริงๆ
Story by คุณเมย์