เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องจากคุณเบลส์เจ้าเก่าครับ และเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องจากเรื่องที่ 259 คุณยายบ้านเพื่อน นั่นเอง คุณเบลส์เล่าว่า.. หลังจากที่ แม่อุ้ยผิน ยายของเก๋เพื่อนผมเสีย หลังจากวันที่พวกเราได้เจอประสบการณ์ขนหัวลุกเพียง 2 อาทิตย์ พวกเราก็ต้องมีอันต้องได้กลับมาที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง แต่ทำยังไงได้ ก็เก๋เป็นเพื่อนพวกเรานี่นะ เมื่อยายของเก๋เสีย พวกเราก็ต้องมาช่วยงานตามมารยาท ไม่ว่าจะเรื่องทำความสะอาด จัดดอกไม้ต่างๆ เตรียมของในบ้าน เพราะทุกอย่างในงานศพ เขาจะจัดกันที่บ้านหมด (ตามธรรมเนียมของคนเหนือ)
เก๋ ได้รับมอบหมายจากแม่ ให้ไปทำความสะอาดห้องนอนชั้นบน ที่จะใช้เป็นที่ตั้งโลงศพยายผินครับ เก๋เลยมารบกวน ผม อ๋อย และเบน ให้ไปช่วยอีกที ในใจก็ไม่ได้อยากทำหรอกนะ เพราะนึกถึงเหตุการณ์เดิมมันยังขนลุกไม่หาย แต่ก็ช่วยไม่ได้ครับ.. ผม อ๋อย และเบน พวกเราตัวติดกันไม่ห่างเลย ขนาดในบ้านมีคนที่มาช่วยกันเตรียมงานศพอยู่หลายคน แต่ในห้องนอนยายผิน ที่เรากำลังทำความสะอาดกันอยู่นั้น กลับดูวังเวง และอึดอัดพิลึก.. ระหว่างที่พวกเราเด็กๆ จัดเตรียมห้องนอนที่จะเอาโลงศพยายผินมาไว้ ก็ได้มีการอาบน้ำศพกันที่ชั้นล่าง.. ระหว่างที่พวกเรากำลังเตรียมของกันอยู่ ก็ได้เสียงคนเดินในห้องนอน คือพื้นเป็นพื้นไม้ เวลามีคนเดิน มันจะรู้สึกได้ ตอนนั้นพวกเราไม่มีใครขยับไปไหนเลย แต่พื้นมันกลับยวบๆ เหมือนมีคนเดินอยู่ มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ครับ มีความรู้สึกเหมือนคนเดินจากเตียงมาหาพวกเรา เสียงมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรา 3 คนมองตากัน ส่งสัญญาณถึงกันแบบไม่ต้องใช้เสียงใดๆ เราขยับเข้ามาหากันตัวแทบจะติดกันเลยทีเดียว จนเก๋เริ่มสังเกตุเห็นพวกเราท่าไม่ดี เลยจุดธูปบอกยายว่า ‘ไม่ได้มารบกวน นี่มาช่วยงานยายกันนะ..’ ทีนี้บรรยากาศในห้องก็เริ่มดีขึ้น รู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะ พวกเราก็นั่งทำดอกไม้กันต่อ
สักพักเบนก็ขอตัวลงไปห้องน้ำที่ชั้นล่าง พอขึ้นมาก็กลับมานั่งที่เดิม แต่เบนกลับดูแปลกๆ ไป แลดูกลัวๆ ตัวสั่น ไม่พูดไม่จา ผมเลยกระซิบถามว่า ‘เป็นอะไรวะ?’ เบนไม่ตอบ แต่เหลือบตามองไปที่เตียงยายผิน ซึ่งมีมุ้งกางคลุมอยู่ เท่านั้นแหละ ชัดเลย! เรา 3 คน ผม เบน และอ๋อย เห็นยายผินนั่งอยู่บนเตียง หันหน้ามาทางพวกเรา เห็นจริงๆ ครับ ไม่ได้ตาฝาดแน่ 3 คนเห็นพร้อมกัน! ทำให้พวกเราตัดสินใจลุกเดินออกมาจากห้องนอนยายผินทันทีเลย เก๋เดินตามออกมาทีหลังด้วยความสงสัย ถามว่าเกิดอะไรขึ้น? แต่พวกเราไม่กล้าบอก กลัวเก๋ และคนในงานจะกลัว.. พวกเราเลือกที่จะจัดดอกไม้ที่ชั้นล่างแทน พอเสร็จค่อยยกขึ้นไปทีเดียว
เราช่วยงานกันจนถึงตอนเย็น คนเริ่มทยอยกันกลับบ้าน เพื่อที่จะไปเตรียมตัวมาฟังพระสวดตอนราวๆ 2-3 ทุ่ม.. ตรงหลังบ้าน เขาจะกางเต๊นท์ทำเป็นเหมือนโรงครัว เอาไว้ทำกับข้าวเลี้ยงแขกที่มาร่วมงานศพ พวกเรา 4 คนเลยจะไปหาอะไรกินกัน นำโดยเก๋เจ้าของงาน ส่วนเรา 3 คนได้แต่อธิษฐานสิ่งเดียวกันคือ ขอให้ไม่เกิดเรื่องน่ากลัวๆ ขึ้นอีก เพราะที่ผ่านมา เหมือนเรา 3 คนเจอกันหนักซะเหลือเกิน เก๋เป็นหลานแท้ๆ กลับไม่เคยได้เจอเลย.. พอมาถึงโรงครัว บรรยากาศตอนนั้นมันช่างวังเวง เพราะคนกลับบ้านกันเกือบหมด ในโรงครัวจึงเหลือแต่พวกเรา 4 คน และป้าๆ อีก 2-3 คน ที่ยังง่วนกับการทำของว่าง ของหวานที่จะเสริฟหลังอาหารเย็น.. เต๊นท์จะตั้งอยู่ด้านข้างเยื้องไปทางหลังบ้าน เวลาอยู่ในเต๊นท์โรงครัวนี้จะสามารถมองเห็นตัวบ้านได้ชัดเจน ระหว่างที่พวกเราก็นั่งกินข้าวกันอยู่ อะไรบางอย่างก็ดลใจให้ผมเหลือบไปมองที่หน้าต่างชั้น 2 ของบ้าน ผมนี่กรี๊ดข้าวแทบพุ่งเลยครับ! เพราะสิ่งที่เห็นคือ ยายผินนั่งห้อยขาอยู่ตรงขอบหน้าต่างชั้น 2 สายตามองจ้องลงมาที่พวกเรา อ๋อย และเบนมันเห็นผมกลัว มันเลยมองตามขึ้นไป ก็เห็นจะๆ เหมือนกันเลยล่ะครับ! พวกเรากลัวกันจนหัวใจจะวาย ทั้งคิดในใจว่า มันจะอะไรกันนักหนาวะ? เริ่มวิตกกันแบบจริงจังแล้วว่า ทำไมยายแกตามเราไม่ปล่อยเลย?
เบนดูเหมือนจะกลัวมากที่สุด ถึงกับร้องไห้ออก บอกว่า ‘ไม่เอาแล้ว จะกลับบ้าน..’ เก๋เห็นแบบนั้นเลยพาพวกเราไปหาผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่อยู่ในงาน ไปเล่าให้เขาฟังว่า เรา 3 คนถูกยายผินตามตลอด เห็นยายตลอดเลย ผู้ใหญ่ท่านนั้นเขาเลยทำเหมือนนั่งทางใน และจับตัวพวกเรา 3 คนไว้ด้วย สักพัก เขาลืมตาขึ้นมาแล้วบอกว่า ‘น้องๆ ได้ไปย้ายกล่องเชี่ยนหมากตรงหัวเตียงยายแกใช่ไหม?’ ผมก็บอก ‘ใช่ เพราะเราต้องจัดดอกไม้ จัดห้องกัน..’ เขาจึงบอกว่า ‘กล่องเชี่ยนหมากนั้นเป็นกล่องผีครูที่ยายผินเลี้ยงไว้ เราไปย้าย ไปจับของเขาโดยไม่ได้ขออนุญาต เขาไม่พอใจ..’ ผมนี่ถึงบางอ้อเลย แต่ก็นึกในใจ ‘ดีออก! นี่กูมาช่วยงานนะ..’ แล้วผู้ใหญ่ท่านนั้นก็ได้ให้พวกเราจุดธูปไหว้ขอขมายายผิน และเคาะโลงศพคนละ 3 ครั้ง เป็นการขอขมา แต่พอพวกเรา 3 คนทำเสร็จ กลับได้ยินเสียงหัวเราะแห้งๆ ของคนแก่ครับ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีใครได้ยินเลย นอกจากพวกเรา 3 คน เสียงนั้นติดหูมากๆ ครับ.. หลังจากช่วยงานวันนั้น พวกเรา 3 คนก็ไม่ได้กลับไปงานศพยายผินอีกเลย..
จนถึงวันที่ 7 ซึ่งเป็นวันเผาศพยายผิน วันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่พวกเรา และทุกคนในงานจดจำได้ดีเลยครับ สมัยนั้นที่หมู่บ้านไม่มีเมรุเผาศพนะครับ แต่จะใช้เป็นเหมือนเชิงตะกอน ที่เอาโลงศพวางแล้วจุดไฟเผา ทุกคนที่อยู่ดูก็จะเห็นโลงถูกเผาไหม้ชัดเจนตรงหน้าเลย.. เชื่อไหมครับ แม้แต่วินาทีสุดท้ายที่เผาศพยายผิน ยายแกยังแสดงความน่ากลัวให้คนทั้งงานได้สะพรึง! ระหว่างที่เผา ปกติพอศพไหม้ แขน ขาก็จะมีดีดบ้างเป็นธรรมดา แต่ของยายผินไม่จ้าา ยายแกกระดกลุกขึ้นมานั่งเลย แถมยังไม่พอ ศพยายหันหน้ามาทางเต๊นท์ญาติๆ อีกต่างหาก คนในงานนี่ร้องกรี๊ดกันจ้าละหวั่นเลย คือภาพมันน่าสยดสยองมากครับ ยายผินทำหน้าเหมือนยิ้ม ท่าทางนี่เหมือนลุกขึ้นนั่ง และเอามือจับขอบโลงไว้ด้วย น่ากลัวมากกก ติดตาสุดๆ ครับ.. พระท่านบอกว่า ‘ผีที่ยายผินเลี้ยง เขายังอยู่ในตัวยายตราบจนนาทีสุดท้าย พอเผาศพ เขาก็ไม่มีที่จะอยู่ เขาพยายามจะออกจากร่างยาย แต่คงออกไม่ได้เพราะยายแกไม่ได้สืบทอด หรือส่งต่อให้ใคร..’
Story by คุณเบลส์