เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องจากคุณเลิฟครับ คุณเลิฟเล่าว่า.. ตอนผมเรียนจบใหม่ๆ ช่วงปี 41 เศรษกิจแย่ครับ สมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ รองานอยู่นาน จนถูกเรียกตัวจากบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่งแถวลาดพร้าว ได้งานเป็นช่างเขียนแบบ ซึ่งไม่ค่อยตรงกับที่เรียนมาเท่าไร แต่ก็ต้องทำดีกว่าตกงานครับ.. บริษัทแห่งนี้เหมือนบริษัทครอบครัวครับ เป็นโฮมออฟฟิศ มีพนักงานแค่ไม่กี่คน แล้วที่นี่เองที่เรื่องราวสยองได้เกิดขึ้น
เจ้าของบริษัทแกเป็นคนชอบเล่นของเก่าครับ อะไรเก่าๆ แกจะชอบหามาสะสมจนเต็มบ้านเต็มช่อง เวลาเดินผ่านทีไรก็อดขนลุกไม่ได้ ผมเรียกเจ้าของบริษัทว่า พี่ปอ เพราะแกเป็นกันเองกับผมมาก แกชอบให้ผมไปสอนพิเศษลูกชายแกที่ชื่อ น้องตั้ม น้องตั้มอายุราว 10 ขวบ เป็นเด็กน่ารัก สดใส ร่าเริง มีซนบ้างตามประสาเด็กผู้ชาย.. อยู่มาวันหนึ่ง พี่ปอ ไปได้เตียงไม้เก่าแก่มาจากที่ไหนไม่รู้ แกมาคุยว่า ‘นี่เป็นเตียงเก่าแก่ สมัยราชวงศ์อะไรสักอย่างของจีน ตกทอดมาเป็นร้อยๆ ปี เจ้าของร้อนเงินเลยมาขายให้ถูกๆ..’ แต่มันไม่มีที่จะไว้ พี่แกเลยเอาไปเปลี่ยนกับเตียงน้องตั้มซะเลย ผมก็ฟังๆ ไป ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ส่วนตัวไม่ค่อยชอบของเก่า ของมีประวัติ เลยไม่ได้อินไปกับพี่แกเท่าไร.. เหตุการณ์ดูเหมือนจะปกติ แต่แล้ว.. เย็นวันหนึ่งครับ น้องตั้มมาเรียนพิเศษกับผม น้องบอกว่า ‘ตั้มไม่อยากนอนเตียงโบราณของพ่อเลย อยากนอนเตียงเดิมมากกว่า นอนเตียงนี้ทีไรชอบฝันร้าย ชอบฝันเห็นผู้หญิงจีนแก่ๆ มานั่งอยู่ปลายเตียง บางทีก็มานั่งลูบหัวตั้ม ตั้มกลัว ช่วยไปบอกพ่อให้หน่อยสิว่าตั้มไม่อยากนอนแล้ว..’ ผมก็รับปากน้องว่าจะไปคุยให้
เช้าวันต่อมา ผมก็ได้ไปคุยกับพี่ปอ เล่าเหตุการณ์ที่ได้ยินมาให้ฟัง พี่ปอแกกลับโมโห บอกว่า ไปฟังอะไรกับเด็กมัน มันโกหกเพราะไม่ชอบเตียงเก่าน่ะสิ.. ไอ้ผมก็จนปัญญา ไม่มีอะไรมาเถียงแทนน้องตั้มได้ เลยต้องปล่อยไป.. น้องตั้มยังคงนอนเตียงโบราณนั้นต่อไปเรื่อยๆ และก็ชอบมาบ่นให้ผมฟังบ่อยๆ ว่านอนไม่สบายตัวเลย ตื่นมาเหมือนจะจับไข้ตลอด ฝันเห็นคนแก่จีนตลอดเลย จนบางคืนต้องเอาผ้านวมมาปูนอนกับพื้น ไม่กล้านอนบนเตียงนั่น.. วันเวลาผ่านไป น้องตั้มเหมือนจะแย่ลงๆ ไม่สบายบ่อย ซูบซีด เหมือนคนไม่ค่อยได้พักผ่อน จนต้องขาดเรียนหลายวันก็มี พี่ปอพาไปหาหมอ หมอก็แค่ฉีดยา ให้ยามากิน แต่อาการก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย สามวันดีสี่วันไข้ เป็นแบบนี้ตลอด จนผมไม่ได้สอนพิเศษน้องตั้มอีก เพราะน้องเอาแต่ป่วย
จนมีอยู่วันหนึ่ง ช่วงสายๆ ผมนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ ที่กั้นเป็นห้องเล็กๆ ในตัวบ้านนั่นแหละ ผมสังเกตุเห็นคนรับใช้วิ่งกันวุ่นไปหมด ทำสีหน้าตกอกตกใจ คนใช้ชาวพม่าอีกคนวิ่งไปตามพี่ปอมา แล้วพากันวิ่งขึ้นไปชั้นบนของบ้าน ซึ่งเป็นห้องนอนของน้องตั้ม ด้วยความอยากรู้ ผมเลยตามขึ้นไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น? พอไปถึงห้องนอนน้องตั้ม สิ่งที่เห็นคือ น้องตั้มนั่งอยู่บนเตียงในสภาพคอพับลงมา หลังค่อม โยกตัวเอนไปเอนมาตลอด ลักษณะเหมือนร่างทรงที่ผมเคยเห็นอะไรแบบนั้น พี่ปอเดินเข้าไปถามว่าน้องตั้มว่า ‘เป็นอะไร?’ น้องตั้มเงยหน้าขึ้นมาทำตาขวางใส่ และพูดอะไรออกไม่รู้ฟังไม่ได้ศัพท์ จะว่าภาษาจีนก็ไม่เชิง ฟังไม่รู้เรื่องเลย คนรับใช้ 2 คนนั่งกอดกันร้องไห้เพราะความกลัว ส่วนผมยืนแอบมองอยู่นอกประตู สังเกตุการณ์ไปเรื่อยๆ พี่ปอเข้าไปนั่งบนเตียงพร้อมเขย่าตัวน้องตั้ม ถามว่า ‘เป็นอะไร เป็นอะไร?’ น้องตั้มก็ไม่ตอบ เอาแต่พูดเป็นภาษาแปลกๆ รัวๆ ผมคิดในใจว่าน้องตั้มโดนผีเข้าแน่ๆ พี่ปอยังคงเขย่าตัวน้องตั้มไม่หยุด เรียกชื่อ ตั้มๆๆๆ จนน้องตั้มตัวอ่อน พับลงไปกับเตียง พี่ปอเห็นผมเลยบอกให้เรียกคนงานเตรียมรถ และมาช่วยอุ้มน้องตั้มไปโรงพยาบาลด่วน
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น น้องตั้มต้องนอนพักอยู่โรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ รอหมอเช็คอย่างละเอียดในทุกด้าน.. เย็นวันหนึ่ง พี่ปอก็มาคุยกับผม ถามว่า ‘น้องตั้มมาคุยอะไรกับผมบ้าง?’ ผมก็เล่าให้พี่ปอฟังหมด และนั่นเป็นครั้งแรกที่พี่ปอเริ่มเอนเอียงมาเชื่อในสิ่งที่ผมเล่า แกบอกว่า ‘เอางี้ พรุ่งนี้จะพาหมอดูฮวงจุ้ยที่นับถือ มาดูที่บ้านให้ ว่ามีสิ่งอะไรไม่ดีอยู่หรือเปล่า?’
วันรุ่งขึ้น ผมมาทำงาน ก็เห็นพี่ปอมาพร้อมกับหมอดูฮวงจุ้ยคนหนึ่ง หมอคนนี้ยังดูหนุ่มมากๆ น่าจะรุ่นๆ เดียวกับพี่ปอ มาถึงแกก็เดินดูไปรอบๆ บ้าน เข้าห้องนั้นออกห้องนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จะมีก็จุดเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องปรับปรุง ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ผมก็ตามจดตามที่หมอดูฮวงจุ้ยบอก.. จนมาถึงห้องน้องตั้ม หมอดูเปิดเข้าไปแล้วยืนนิ่งตัวแข็งไปพักหนึ่ง และรีบปิดประตูเดินลงไปชั้นล่างทันที ผมกับพี่ปอมองหน้ากันงงๆ ..พอมาถึงห้องรับแขกข้างล่าง หมอดูฮวงจุ้ยก็รีบถามพี่ปอว่า ‘เตียงในห้องนั้นของใคร? อยู่ที่บ้านมานานหรือยัง?’ แล้วก็ซักถามพี่ปอต่ออีก 2-3 คำถาม ก่อนจะสรุปออกมาว่า ‘ให้เอาเตียงนั้นไปไว้ที่อื่น หรือไปไว้ที่วัด อย่าเอาไว้ในบ้าน มันไม่ดี มันมีของสกปรก จะทำให้อยู่ไม่สุข อัปรีย์’ พี่ปอกับผมได้ฟังก็อึ้งกันไปสิครับ.. พอหมอดูกลับไป ผมก็ถามพี่ปอว่า ‘พี่จะเอาไปไว้วัดไหม?’ พี่ปอก็พยักหน้าตกลง แต่ผมสังเกตุแววตาแก ที่ยังคงนึกเสียดายเตียงโบราณนั้นอยู่มาก.. วันต่อมา ผมก็เห็นคนงานช่วยกันขนเตียงโบราณนั้นใส่รถหกล้อ แล้วขับออกไปจากบริษัท ผมรู้สึกโล่งใจยังไงบอกไม่ถูก แต่ดูสีหน้าพี่ปอแกยังอาลัยอาวรณ์เตียงนั่นอยู่เลย.. ไม่กี่วันต่อมา น้องตั้มก็ออกจากโรงพยาบาล หมอสรุปว่า น้องตั้มไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่พักผ่อนน้อย เครียดจัด เลยเกิดอาการเพ้อ น้องตั้มกลับมาคราวนี้ดูสดใสกว่าเดิมมาก ยิ่งได้ข่าวว่าคุณพ่อเอาเตียงโบราณออกไปแล้ว น้องยิ่งดีใจมากกว่าเดิม..
ผมทำงานอยู่ที่บริษัทพี่ปอไปอีกสักพัก ก็ได้งานใหม่ที่บริษัทของรุ่นพี่ ผมเลยขอลาออกจากบริษัทพี่ปอ วันที่ออกพี่ปอแกก็ให้พร และให้พระผมมาองค์หนึ่ง กล่าวขอบอกขอบใจที่ช่วยสอนพิเศษลูกชายแกด้วย ผมก็กราบลาพี่ปอออกมา ตอนกำลังเดินออกมาจากบริษัท สายตาผมก็เหลือบไปเห็นกาแล และเชิงชายใต้หลังคาบ้าน ที่เป็นไม้ฉลุสวยงาม ผมชี้ไปและเอ่ยถามพี่ปอว่า ‘พี่ซื้อมาใหม่เหรอครับ เพิ่งสังเกตุเห็น สวยเชียว เป็นไม้เก่าดูคลาสสิคดีนะครับ..’ พี่ปอเดินมาตบไหล่ผมเบาๆ แกบอกว่า ‘เปล่าหรอก ไม่ได้ซื้อใหม่ ไม้นั่นพี่ทำมาจากเตียงเจ้าตั้มนั่นล่ะ ส่งไปทำที่อยุธยา รื้อเตียงทิ้งเอาแต่ไม้ส่วนที่สวยๆ จ้างช่างฉลุลาย แหม จะให้ทิ้งทั้งหมดก็เสียดาย..’ ผมได้ฟังก็ไม่มีคำพูดอะไรต่ออีกแล้ว ได้แต่ยกมือไหว้ และกราบลาพี่ปอ แล้วเดินจากไป
ปีต่อมา ผมได้ดูข่าวทางทีวีโดยบังเอิญ เป็นข่าวน้องตั้มเสียชีวิตเพราะถูกรถชน! ผมจำนามสกุลน้องตั้มได้ และข่าวก็บอกว่าเป็นลูกชายของเจ้าของบริษัทที่ผมเคยทำงานนั่นแหละ ผมขนลุกไปหมดเลย ไม่รู้ว่าอุบัติเหตุนั้นเป็นเหตุบังเอิญ หรือเป็นอาถรรพ์ของเตียงโบราณที่ต้องการเอาชีวิตน้องตั้มมาตั้งนานแล้ว แต่ก็สุดจะคาดเดาได้ แค่คิดก็สยองแล้วครับ..
Story by คุณเลิฟ