เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณ Vitaya Laha สมาชิกกลุ่ม TheHOUSE ครับ เรื่องมีอยู่ว่า.. เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว บ้านผมอยู่รามอินทรา กม.8 แน่นอนว่าสมัยนั้นความเจริญยังไม่เท่าปัจจุบันนี้ รถราก็ยังไม่ขวักไขว่ ตัวผมนั้นเป็นพวกผีเสื้อราตรีครับ ไม่ค่อยจะได้กลับบ้านสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะนอนที่หอกับเพื่อนๆ แถวพระรามสาม อาทิตย์ 2 อาทิตย์จะกลับมาบ้านสักครั้ง แล้วเรื่องก็เกิดขึ้นในคืนหนึ่งที่ผมกลับบ้านครับ.. คืนนั้นผมกับเพื่อนๆ ก็ไปเที่ยวผับกันตามประสาวัยกำลังอยากลอง แต่คืนนั้นไม่รู้เป็นอะไร ผมรู้สึกไม่ค่อยอยากดื่มเท่าไหร่ ปกติจะไม่เคยปฏิเสธ และผมก็รู้สึกอยากกลับบ้านด้วย พอผับเลิกประมาณเกือบตี 2 ผมก็บอกกับพวกเพื่อนๆ ว่าคืนนี้ไม่ไปนอนหอนะ อยากกลับบ้าน แล้วก็แยกตัวมา
ผมเรียกแท็กซี่จากสุขุมวิทไปรามอินทรา กม.8 ซึ่งปกติแท็กซี่จะหายากมาก แต่คืนนั้นเหมือนอะไรทุกอย่างมันสะดวกไปหมด เรียกคันแรกแท็กซี่ก็ไปเลย สมัยนั้นถนนเลียบทางด่วน-รามอินทรา ไม่ค่อยมีคนอยากใช้กันหรอกครับ เพราะมันมีแต่ทุ่งนา และป่า ส่วนใหญ่จะใช้เส้นหน้ารามคำแหงไปแยกลำสาลี แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุขาภิบาล 1 แต่ผมบอกโชเฟอร์ว่าให้วิ่งเส้นเลียบทางด่วนเลยแล้วกัน แล้วไปเข้าถนนนวลจันทร์ เพราะผมอยากถึงบ้านไวๆ ระหว่างทางฝนก็ตกปรอยๆ ลงมาตลอดทาง พอใกล้ถึงซอยที่ผมอยู่ มันจะมีวัดวัดหนึ่งอยู่ตรงข้ามปากซอยพอดี แต่บ้านผมต้องขับรถเข้าไปอีกสักประมาณ 400 เมตร แต่โชเฟอร์แท็กซี่ดันไม่ยอมเข้าไปส่งผม ให้เหตุผลว่ามันเปลี่ยวไม่เคยเข้าไป เลยส่งผมแค่ตรงหน้าวัดเท่านั้น ซึ่งผมก็ต้องเดินเข้าซอยไปเองแบบไม่ค่อยพอใจนัก แถมยังต้องตากฝนที่ตกพรำๆ อีกด้วย ในซอยฝั่งซ้ายมือจะเป็นบ่อปลาโล่งๆ มีต้นมะพร้าว และต้นมะขามใหญ่ๆ อยู่ข้างทาง ส่วนด้านขวามือจะมีบ้านพักคนงานก่อสร้างอยู่กลางซอย ประมาณ 5-10 หลัง และก็จะเป็นป่ากกอยู่ข้างๆ เวลาตอนนั้นเกือบๆ จะตี 3 แล้ว
ผมก็เดินเข้าซอยไปท่ามกลางฝนพรำ พอเดินผ่านบ้านคนงานก่อสร้างผมก็ต้องตกใจครับ! เพราะอยู่ดีๆ หมาประมาณร่วม 10 ตัวต่างพร้อมใจกันหอนขึ้นมาระงม ผมนี่แทบช็อค เลยพยายามรีบเดินให้ถึงบ้านไวที่สุด แล้วผมก็ต้องมาหยุดที่บ้านหลังหนึ่งครับ เห็นคุณยายแก่ๆ ท่านหนึ่ง ใส่ผ้าถุงกับเสื้อคอกระเช้าเก่าๆ นั่งอยู่หน้าบ้าน และกำลังร้องไห้อยู่คนเดียว ผมจึงเข้าถามยายไปว่า ‘ยายครับ ทำไมออกมานั่งอยู่หน้าบ้านมืดๆ คนเดียวล่ะ ฝนก็ตกด้วย แล้วยายร้องไห้ทำไมครับ?’ ยายตอบผมว่า ‘ยายนอนไม่หลับหรอกไอ้หนุ่มเอ้ย ยายคิดถึงลูกชาย มันหายไปกับเพื่อนหลายวันแล้ว ไม่ยอมกลับมาหายายเลย ยายนั่งรอมันมาหลายคืนแล้ว..’ น้ำเสียงที่ยายคุยกับผมนั้น บอกเลยว่า เหมือนคนแก่ทั่วไป เสียงออกจะสั่นนิดๆ มีความเศร้าปนอยู่ในน้ำเสียงแบบรู้สึกได้ ผมเลยปลอบยายไปว่า ‘ยายเข้าบ้านไปนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ลูกยายก็คงกลับมาเองแหละครับ อากาศมันเย็นเดี๋ยวยายจะไม่สบายเอานะ ผมก็จะเข้าบ้านผมแล้วครับ..’ แต่สิ่งที่ยายตอบกลับมาก่อนที่ผมจะเดินจากไป ยายแกพูดว่า ‘ขอให้มันกลับมาหายายตอนเช้าจริงๆ เถอะพ่อคุณ เพราะถ้ามันไม่มา มันคงจะไม่ได้เห็นยายเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว..’ ผมได้ยินนี่ขนลุกขึ้นมาทันที แต่อีกใจก็คิดว่าแกคงพูดประชดตามประสาคนแก่ใจน้อย แล้วผมก็เดินกลับบ้าน ทิ้งให้ยายแกนั่งรอลูกชายแกต่อไป..
พอรุ่งเช้า ผมก็ได้ยินเสียงแม่ น้า ยาย รวมถึงคนข้างบ้านผมคุยกันที่หน้าบ้านให้เจี้ยวจ้าวไปหมด ผมเลยลุกจากเตียงแบบหงุดหงิด จะไปถามว่าทำไมต้องคุยกันดังขนาดนี้ พอเจอแม่ ผมเลยถามแม่ว่าคุยอะไรกันเสียงดังเชียว? แม่ผมบอกว่า ‘ก็คุยกันว่าวันนี้จะไปวัดกัน..’ ผมถาม ‘ไปทำอะไรวันนี้ ไม่ไช่วันพระนี่แม่?’ แม่บอกว่า ‘จะไปเผาศพยายจุไรตอนบ่าย 3 เอ็งจะไปไหมล่ะ?’ ผมถาม ‘ยายจุไรไหน ทำไมผมไม่รู้จัก?’ แม่ตอบว่า ‘ก็ยายจุไรที่อยู่ตรงใกล้ๆ บ้านพักคนงานนั่นไง แกเพิ่งตายได้ 3 วันที่แล้ว ตายที่บ้านนั่นแหละ คนงานแถวนั้นเป็นคนเข้าไปเจอศพแก น่าสงสารแก มีลูกคนเดียวก็ไม่สนใจ นี่แม่มันตายมันยังไม่กลับบ้านเลย จะเผาวันนี้แล้ว’ พอผมได้ยินแม่บอกแบบนั้น ผมก็งง เลยบอกแม่ว่า ‘จะเป็นไปได้ยังไงแม่ เมื่อคืนตอนที่ผมเดินเข้าซอยมา ยังแวะคุยกับยายแกที่หน้าบ้านอยู่เลย แล้วแกจะตายได้ไง?’ แม่กับยายผมมองหน้ากัน ไม่มีเสียงพูดใดๆ ก่อนจะหันมาบอกผมว่า ‘เอ็งโดนยายจุไรหลอกเข้าแล้วล่ะ ยายแกคงห่วงลูกชายแก อยากเจอลูกชายแก เลยยังไม่ยอมไปไหน..’ ผมนี่ถึงกับขาอ่อนทรุดตัวลงกับพื้นเลยครับ ถ้าเมื่อคืนผมรู้ว่ายายแกตายไปแล้ว ผมคงไม่กลับบ้านแน่นอน
Story by คุณ Vitaya Laha